ประเพณีบุญสารทเดือนสิบ
ประเพณีบุญสารทเดือนสิบเกิดขึ้นตามความเชื่อในทำนองเดียวกับชาวอินเดีย เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบุพการีที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งจะถูกปล่อยตัวเปรตจากยมโลกเพื่อให้ขึ้นมาพบญาติพี่น้อง ลูกหลาน ในเมืองมนุษย์ใน วันแรม ๑ ค่ำ เดือนสิบ และกลับลงไปอยู่ในนรก ในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือนสิบ ลูกหลานจึงนำอาหารไปทำบุญที่วัด เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วปีละครั้ง
โดยทำในวันแรกที่ผู้ล่วงลับมาจากยมโลก คือวันแรม ๑ ค่ำ เดือนสิบ เรียกว่า "วันหมรับเล็ก" (วันรับตายาย) และวันที่ผู้ล่วงลับจะต้องกลับยมโลกดังเดิมคือ
วันแรม ๑๕ ค่ำ เดือนสิบ เรียกว่า "วันหมรับใหญ่"(วันส่งตายาย)
มีความเชื่อกันว่าเปรตที่ได้รับบุญกุศลที่ลูกหลานอุทิศไปให้ในวันสารทเดือนสิบ ก็จะสามารถนำบุญกุศลดังกล่าวไปใช้ในการลดโทษจนพ้นผิดหรือมีโทษเบาลง
"พิธีงานบุญสารทเดือนสิบที่มีชื่อ ในภาคใต้ที่กระทำพิธีนี้กันแบบยิ่งใหญ่และถือปฏิบัติกันมาเป็นประเพณีที่ยาวนานที่สุดก็คือที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
เมื่อถึงวันที่จะต้องไปวัดเพื่อทำบุญอุทิศส่วนบุญกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะต้องจัดเตรียมสิ่งของใส่ภาชนะหรือที่ชาวนครศรีธรรมราชเรียกกันว่า "การจัดหมฺรับ"ซึ่งหมฺรับที่จัดทำขึ้นนั้นจะประกอบไปด้วยของกิน ของใช้ที่จำเป็นมากมายหลาย แต่ที่จะขาดไม่ได้นั้นจะต้องมีขนม 5 อย่าง ซึ่งถือกันว่าเป็นหัวใจของการทำบุญวันสารทเดือนสิบ ขนม 5 อย่าง นั้นได้แก่......
1.ขนมพอง เป็นสัญลักษณ์หมายถึง แพฟ่อง สำหรับให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วใช้เป็นพาหนะใช้ในการเดินทาง
ขนมพอง
2.ขนมลา ใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม
ขนมลา
3.ขนมกงหรือขนมไข่ปลา ใช้แทนเครื่องประดับร่างกาย
ขนมกงหรือขนมไข่ปลา
4.ขนมบ้า ใช้แทนลูกสะบ้าเล่นในเทศกาลสงกรานต์
ขนมบ้า
5.ขนมดีซำ ใช้แทนเงินเบี้ยเพื่อใช้สอย
ขนมดีซำ
และเมื่อนำสิ่งของเหล่านี้ไปยังที่วัดแล้ว พิธีกรรมต่อไปคือการตั้งเปรตและชิงเปรต การตั้งเปรตเป็นการนำเอาอาหารที่ลูกหลานนำเพื่อเพื่อให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วและถูกปล่อยตัวมาจากนรกภูมิได้กิน(กระทำนอกวัด)เสร็จแล้วจะจุดธูป เทียนเพื่อบอกดวงวิญญาณให้บรรพบุรุษได้รับรู้ และมากินอาหารที่ลูกหลานนำมาตั้งไว้ให้ หลังจากที่หมดธูปที่จุดไว้ ลูกหลานจะเข้าไปแย่งชิงอาหารนั้นหรือที่เรียกกันว่าการชิงเปรต เพราะเชื่อว่าการที่ได้กินของเหลือจากบรรพบุรุษเป็นการแสดงความกตัญญูและจะเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง