บนลานวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวอ่าข่า
เพลงบทแล้วบทเล่าที่ขับขานบนลานวัฒนธรรมของชนเผ่า ล้วนถ่ายทอดวิถีชีวิตที่หล่อหลอมให้คนเป็นคนที่สมบูรณ์ตามบริบทของชนชาติบนภูเขา ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และแน่นอนที่สุด คือการยอมรับที่จะอยู่ร่วมบนความหลากหลายทางวัฒนธรรม ที่นำมาซึ่งความสันติและความสงบ
"...ยามฝนตกเสียงฟ้าคำรามดังทั่วดอย
เป็นเวลาที่ทุกคนต้องปลูกข้าวโพด
ข้าวโพดมีความหมายสำหรับชีวิต
ของผู้คนและสัตว์ต่าง ๆ ........"
บางส่วนของบทเพลงในฤดูปลูกข้าวโพด
เดือนเมษายน
บทเพลงที่เกี่ยวข้องกับการปลูกข้าวโพดมี่รายละเอียดมากกว่านี้ ผู้ร้องบรรยายถึงการเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด การเลือกและคัดพันธุ์ การหยอดเมล็ดพันธุ์ การดูแลรักษา การถอนหญ้า เรื่อยไปจนกระทั่งถึงการเก็บเกี่ยวข้าวโพดด้วยวิธีที่ถูกต้องตามบริบทของชุมชน ทั้งทางวิถีปฏิบัติ และทางขนบธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งต้องมีจารีต โดยเฉพาะการปลูกข้าว ซึ่งเป็นหัวใจหลักของเกษตรกรรมบนดอย
ลานวัฒนธรรมของชุมชน จึงเปรียบเสมือนสถานที่แห่งการเรียนรู้ที่สำคัญของชุมชน เป็นการสืบทอดวัฒนธรรม สืบทอดการดำรงอยู่ของจิตวิญญาณ และเจตนารมณ์ของเผ่าพันธุ์ ปรัชญาพื้นฐาน และปรัชญาชั้นสูงในการดำรงชีวิตของชนเผ่า ยามหัวเราะสนุกสนาน หรือยามเหงาที่เศร้าสร้อยพานพบได้จากลานวัฒนธรรมดังกล่าวทุกค่ำคืน
นอกจากการดำรงอยู่ของมนุษย์ผ่านลานวัฒนธรรมแล้ว กิจกรรมการเรียนรู้ในสถานที่นี้ยังคงสืบทอดและดำรงไว้ซึ่งดุลยภาพระหว่างโลกปัจจุบันและโลกแห่งวิญญาณบรรพชนอีกด้วย โดยชาวอ่าข่าเชื่อว่า การขับขานบทเพลงบนลานวัฒนธรรม หรือที่ใดก็ตามที่เหมาะสม เช่นในไร่ข้าว ไร่ข้าวโพด ในป่า ฯลฯ ช่วยทำให้วิญญาณแห่งบรรพชนมีความเข้มแข็ง และหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของผู้คนในโลกแห่งปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ส่งผลต่อสุขภาวะของคนในชุมชนทั้งทาง กาย ใจ จิตวิญญาณ และสังคม
..................
ขอขอบคุณภาพจาก http://www.banakha.com
ใกล้ถึงเทศกาลโล้ชิงช้าของชาวอาข่าแล้ว
เสียดายปีนี้ติดภารกิจมากมายมิได้ไปร่วม
คงต้องรอใหม่ปีหน้า
ขอบคุณบันทึกดี ๆ ที่นำมาแบ่งปันครับ