ดูเหมือนเรื่อง ไข้หวัดใหญ่ 2009 ยังจะเป็นเรื่องที่ผู้คน ให้ความสนใจและติดตามข่าวอยู่อย่างต่อเนื่องมาตลอด โดยเฉพาะยิ่งในช่วงที่มีฝนตกแทบจะทุกวัน ทั่วประเทศขณะนี้ ตัวดิฉันเอง พอโดนฝนทีไร ก็ใจไม่สบายทุกที เกรงจะเป็นหวัดมีไข้และคิดเลยไปถึงไข้หวัดใหญ่ 2009 โน่น
เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2552 ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมากล่าวว่า เป็นห่วงการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ระลอก 2 ที่เชื่อว่า จะกลับมา เมื่อประชาชนเลิกตื่นตัวในการรักษาความสะอาด ซึ่งขณะนี้ประมาณการว่ามีคนไทยป่วย มีภูมิต้านทานไข้หวัด 2009 แล้วกว่าล้านคน ดังนั้น จะเหลืออีกกว่า 60 ล้านคนที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน
แม้ในสหรัฐอเมริกาเอง ดอกเตอร์โธมัส เฟรเดน ผู้อำนวยการซีดีซี ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ รายงาน เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2552 ว่า ผู้เสียชีวิตจากไวรัสเอช1เอ็น1 ภายในประเทศ 477 คน ในจำนวนนั้นเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี "2ใน3ของผู้เสียชีวิต เด็กเหล่านั้นล้วนแค่มีอาการป่วยแฝงอยู่หรือทุพพลภาพ ... สมองพิการ โรคกล้ามเนื้อเสื่อม ป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังหรือโรคหัวใจ"
ทาง WHO ก็ได้ออกข่าวเตือนไว้เช่นกัน Preparing for the second wave: lessons from current outbreaks
ส่วนดิฉันเอง มีความเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวว่า จริงๆแล้วประชาชนทุกคนสามารถตั้งหลักเตรียมตัวป้องกันไข้หวัด2009ได้ ตั้งแต่ที่บ้าน ด้วยวิธีการง่ายๆและปลอดภัย
เริ่มตั้งแต่ การสอนให้เด็กๆล้างมืออย่างถูกวิธี ก่อนรับประทานอาหาร กลับมาจากโรงเรียน หรือไปเที่ยวนอกบ้านทุกครั้ง เวลาจะไอหรือจาม ต้องปิดปากให้สนิท และหันหน้าไปทางอื่น ที่ไม่มีคนอยู่ ซึ่งผู้ใหญ่ต้องสอนเด็กๆ ตั้งแต่เด็กพอรู้ความ และผู้ใหญ่ก็ต้องทำตัว ให้เป็นตัวอย่างด้วย จนกระทั่ง ติดเป็นนิสัย
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยง flu virus และพวก infectious diseaseต่างๆ ก็คงต้องสอนเด็กๆที่ไปโรงเรียนให้:::
1. ระวัง อย่าไปอยู่ใกล้ คนที่เป็นหวัด
2.เมื่อตัวเราป่วย ก็อย่าไปเข้าใกล้ คนที่ไม่ป่วย และผู้ใหญ่ ควรจะให้หยุดเรียน พักอยู่ที่บ้านเลย
3.แม้ผู้ใหญ่เอง ก็ควรลางานหยุดพักรักษาตัวอยู่กับบ้าน
4.แม้จะอยู่ที่บ้านก็ต้องระวังปิดปาก จมูกเวลาจามหรือไอ ไม่ให้ติดคนในบ้าน ถ้าออกนอกบ้านเพื่อไปพบแพทย์ ต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง
5.ล้างมือบ่อยๆด้วยสบู่และน้ำ โดยเฉพาะหลังการไอ หรือ จาม
6.อย่าเอามือไปถูก ตา จมูก ปาก ในช่วงที่ป่วย
7.ในกรณี ที่ไม่ป่วย แต่ออกไปนอกบ้าน ก็อย่าเอามือยกขึ้นมาขยี้ตา จับจมูกหรือ ปากเช่นกัน เพราะมือเราสกปรกจากการไปจับสิ่งของต่างๆตลอดเวลา
ดิฉันมีประสบการณ์เรื่องไข้หวัด 2009 เมื่อเร็วๆนี้เอง คือ พนักงานขับรถที่บ้านและพนักงานธุรการ ที่ทำงาน ป่วยเป็นไข้หวัด 2009 เมื่อเห็นว่า พวกเขาเริ่มป่วย ก็ได้ให้หยุดงานไปหาหมอทันที เพราะในช่วงที่เริ่มป่วยจนถึง 7-10 วันนี้ เขาสามารถแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็ว เมื่อครบ 7 วัน ก็ยังให้เขาหยุดต่ออีก ให้ครบ 10-14 วัน หรือจนกว่า จะไม่มีการไอแล้ว เพราะเกรงว่าจะนำมาติดคนอื่นๆ โดยเฉพาะเด็กๆ เนื่องจากเด็กๆจะติดโรคนี้ได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่
กรณีพนักงานขับรถ เป็นมากขนาดที่ แพทย์ต้องสั่งยา oseltamivir (brand name Tamiflu ®) or zanamivir (brand name Relenza ®) ให้ เพื่อต่อสู้กับโรคนี้ ให้เชื้อหยุดการกระจายตัวต่อไป ซึ่งในที่สุดแล้ว พนักงานคนนี้ หยุดงานถึง 2 อาทิตย์กว่าจะหายดี อาจจะเป็นเพราะความต้านทานไม่ดีมากนัก และให้เขาปฎิบัติตัว ดังต่อไปนี้ เพื่อมิให้เชื้อกระจาย
1.งดไปเยี่ยมแม่ ซึ่งมีอายุ 65 ปี ชั่วคราวก่อน แต่ให้นำลูกสาวอายุ 5 เดือนไปฝากแม่เลี้ยงไว้ ให้มีแค่ภรรยาเขาเท่านั้น ที่ดูแลอยู่แต่ให้สวมหน้ากากอนามัยตอนที่พยาบาลทุกครั้ง
ลูกสาวเขา มีความเสี่ยงสูงมาก ที่จะติดหวัด และแม้มีวัคซีน อาจจะยังฉีดไม่ได้เพราะ ยังเล็กเกินไป
2.ให้เปิดประตูหน้าต่างทุกบาน ในช่วงกลางวัน ให้อากาศถ่ายเท
3.ให้ใช้ห้องน้ำแยกกันกับผู้อื่น และให้มีถังขยะปิดฝา เฉพาะสำหรับตัวเอง 1 ใบ
4.ให้แยกใช้ จานชาม แก้วน้ำ ยิ่งแยกอาหารร้อนๆ ย่อยง่ายๆ มากินเฉพาะตนยิ่งดี มิฉะนั้น ต้องมีช้อนกลาง
5.เช็ดล้างผิวสัมผัสต่างๆ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ด้วยน้ำยาทำความสะอาดทุกวัน
6.ไม่จำเป็น ไม่ต้องพูดกับใคร ควรพักผ่อนให้มากที่สุด ถ้าจำเป็นต้องพูด ไม่ควรหันหน้าไปพูดกับใครตรงๆ เพราะอาจไปจาม ไอ ใส่เขาได้
7.ให้ภรรยาเขา ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้ง หลังจากมาดูแลผู้ป่วย
8.การนำเสื้อผ้า ปลอกหมอน ผ้า ปูที่นอน ผู้ป่วยไปซัก ก็อย่าให้ภรรยาเขาอุ้มเสื้อผ้าไปซัก เพราะเชื้ออาจมาติดที่เสื้อผ้าภรรยาเขาได้ ให้ใส่ตะกร้ายกไป และให้ล้างมือทุกครั้ง ที่หยิบจับเสื้อผ้าผู้ป่วย
ยังคิดว่า โชคดี ที่สังเกตอาการว่า พนักงานคนนี้ เริ่มมีอาการอ่อนเพลียมีไข้เพียง 1 วัน จึงรีบให้หยุดเลย มิฉะนั้น อาจจะพากันติดหวัดกันหลายคนในที่ทำงาน เพราะไข้หวัดนี้ จะแพร่เชื้อได้ ภายใน 1 วันก่อนที่ผู้ป่วย จะรู้ตัวว่าป่วย และยังแพร่ต่อได้อีก 7 วัน หลังจากที่รู้ตัวว่า ป่วยแล้ว แนะนำให้เขาพักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำหรืออาหารน้ำๆ เครื่องดื่มน้ำๆให้มากๆ เช่น น้ำซุป น้ำเกลือแร่บ้าง เพื่อมิให้เกิดอาการขาดน้ำ ซึ่งให้เขาสังเกตอาการ คลื่นไส้ เวียนศรีษะ โคลงเคลง เมื่อลุกขึ้นยืน ไม่ค่อยจะปัสสาวะ หนาวสั่นหรือมีอาการคล้ายจะวูบ เป็นลม เป็นต้น และไม่ให้ใช้ยา aspirin ลดไข้เป็นอันขาด เกรงว่า อาจมีผลข้างเคียงได้ (Reye's syndrome) ให้เขาใช้ยาพวก Tylenol® แทน
ส่วนพนักงานธุรการ เมื่อให้หยุดงานไปแล้ว ก็ห้ามไม่ให้ใครไปจับต้องเอกสารที่เขาดูแลอยู่เป็นเวลา 24 ช.ม. เพราะเชื้อหวัดจะสามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นผิวของสิ่งของต่างๆได้ถึง 6-8 ช.ม.และให้นำน้ำยาฆ่าเชื้อโรค มาเช็ดโตีะเก้าอี้ ให้เรียบร้อย เพื่อมิให้มีเชื้อหลงอยู่ และให้มีการทำความสะอาดสำนักงานกันเป็นการใหญ่ พนักงานผู้นี้ หยุดงานไปประมาณ 10 วัน ก็หายเป็นปกติ และไม่มีใครติดโรคจากเขาเลย
กรณีเด็กๆ ที่ต้องดำเนินชีวิตไปตามปกติ นอกจากการไปโรงเรียนแล้ว การไปออกกำลังกายและไปเที่ยว ก็เป็นสิ่งสำคัญ จึงพยายามหลีกเลี่ยง สถานที่ๆแออัด จะพาไปแต่ที่โล่งๆโปร่งๆ ถ้าเป็นสระว่ายน้ำ ก็จะเลือกสระที่สะอาด และแน่ใจว่า มีการใช้คลอรีนหรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ประมาณ 1-3 parts per million ซึ่งสะอาด ปราศจากเชื้อ แน่นอน
การที่ต้องมีการระมัดระวังการติดโรคไข้หวัด 2009 กันค่อนข้างมาก เพราะเนื่องจากไวรัส H1N1 แพร่กระจายได้รวดเร็วกว่า ไข้หวัดใหญ่ธรรมดามาก
ข้อมูลเรื่องไข้หวัดใหญ่ 2009 มีหลายด้าน มีรายละเอียดแตกต่างกัน แต่ที่เหมือนกันคือ ต้องให้เชื้อนี้แพร่กระจายช้าที่สุด ถ้าไม่มี หน้ากากอนามัย แต่อย่าเอามือมาแตะ T-Zone ตาจมูกและปากเด็ดขาด
บัดนี้ พนักงานทั้งสอง หายเป็นปกติดีแล้ว แต่สำหรับคน ที่ยังไม่มีภูมิต้านทาน ช่วงต่อจากนี้เป็นต้นไป ก็คงต้องรอ วัคซีน จากทางกระทรวงสาธารณสุข แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่า จะปลอดภัยแค่ไหน เพราะมีข่าวอยู่ตลอดเกี่ยวกับเรื่องประสิทธิภาพของวัคซีน
มีการ กล่าวถึงกรณีเชื้อไวรัสอาจมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ซึ่งอาจมีผลต่อการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่ก็ทราบว่าทาง องค์การเภสัชกรรม และมหาวิทยาลัยมหิดล ได้เฝ้าระวังและติดตามการกลายพันธุ์เชื้อไวรัสชนิดนี้อยู่ พบว่าส่วนที่กลายพันธุ์อาจเกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใน 5 จุดสำคัญ อาทิ จุดที่ควบคุมคุณสมบัติความปลอดภัย การต้านทาน ความดุร้าย ฯลฯ ดังนั้น ยืนยันว่าการทดลองวัคซีนยังมีความปลอดภัยสูง
ล่าสุด...องค์การอนามัยโลกเปิดเผย เมื่อวันที่ 2 กันยายนคาดหมายว่าประเทศต่างๆทั่วโลกต้องจ่ายเงินระหว่าง 2.50 ถึง 20 ดอลลาร์ต่อวัคซีนรักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 1 โดส แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจ่ายของแต่ละประเทศ
แมรี่ พอล คีนีย์ ผู้อำนวยการด้านวิจัยวัคซีนขององค์การอนามัยโลก ยังเตือนด้วยว่า วัคซีนจะไม่เพียงพอต่อพลเมืองโลกทั้งหมดและประชาชนไม่ควรไว้วางใจวัคซีนเพียงอย่างเดียว พร้อมแนะให้ใช้มาตรการป้องกันอื่นๆในการต่อสู้กับไว้รัสเอช1เอ็น1 อาทิ หลีกเลี่ยงแหล่งชุมนุมชนขนาดใหญ่ รวมถึงปิดโรงเรียนและเอาใจใส่ต่อสุขลักษณะส่วนตัว
ส่วนตัว คงยังไม่รีบไปฉีด คงต้องขอศึกษาเรื่องวัคซีนให้ละเอียดกว่านี้อีกสักหน่อย น่าจะปลอดภัยกว่า โดยจะมีการดูแลสุขภาพอนามัยส่วนตัวอย่างถูกต้องควบคู่ไปด้วย ปิดท้ายบันทึกด้วย แฟชั่นสุดเท่ รับหวัด2009 โดยนักออกแบบชาวฝรั่งเศส ภาพจาก คุณสุทธิชัย หยุ่น