เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (26-28 สิงหาคม 2552) ผมได้เข้ารับการอบรมหลักสูตร “ศิลปะการพัฒนาบุคลิกภาพ” ที่จัดโดยมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หลักสูตรนี้ผมเสนอส่งตัวเองเข้าไปเรียนเองเพื่อที่จะได้นำความรู้ที่เกี่ยวข้องมาใช้ในงานที่ทำอยู่ซึ่งก็คืองานฝึกอบรมนั่นเอง เช่น การสอนวิชา Train the Trainer การสอดแทรกเนื้อหาในหลักสูตรพนักงานควบคุมรถไฟฟ้า เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี เป็นต้น
เนื้อหาการฝึกอบรมแบ่งออกเป็น 3 วัน แต่ละวันก็จะมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญที่รับผิดชอบในแต่ละเนื้อหาผลัดกันสอนวันละ 1 ท่าน และภาพรวมของหลักสูตรก็จะมีวิทยากรดูแล ซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเจ้าของโครงการและทำหน้าที่เป็นวิทยากรกลุ่มสัมพันธ์ด้วย คือ อ. วัชรินทร์ หาดทวายการจน์ ซึ่งมีมุกและเกร็ดความรู้หลายอย่างที่ผมต้องขออนุญาตนำไปใช้ในงานฝึกอบรมของผมด้วยเช่นกัน ซึ่งต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ไว้ ณ ที่นี้ด้วย
การฝึกอบรมวันแรก ทุกคนยังดูเกร็งๆ เนื่องจากวิทยากรไม่ได้ทำกิจกรรมละลายพฤติกรรมและยังไม่มีการแนะนำตัวเอง จึงทำให้แต่ละคนยังสงวนท่าทีไว้ วิทยากรที่สอนในวันแรกคือท่าน อาจารย์ วิไล พึ่งผล รับผิดชอบเนื้อหาเกี่ยวกับ ศิลปะการแต่งกายเพื่อเสริมบุคลิกภาพ และสูตรสำเร็จของบุคลิกภาพที่ประทับใจ
ในช่วงเช้าท่านวิทยากรได้แยกกลุ่มผู้เรียนระหว่างชายหญิงออกจากกัน เนื่องจากมีเนื้อหาการสอนไม่เหมือนกัน ตรงนี้ผมคิดว่าน่าจะมีวิทยากรแยกสำหรับกลุ่มชายหญิงโดยเฉพาะ แต่อย่างไรก็ตามเราก็ได้รับการแนะนำจากวิทยากรในเรื่องการแต่งกายพอสมควร ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการเสริมบุคลิกให้ดูดีขึ้น เช่น เสื้อผ้า หน้า ผม จะต้องสวมใส่อย่างไร ผิวหน้า ทรงผม ผิวพรรณ ควรจะมีการบำรุงรักษาอย่างไร เนื้อหาในช่วงเข้านี้ทำให้ผมต้องเกิดความลำบากใจที่จะปรับกระบวนทัศน์พอสมควร เนื่องจากก่อนหน้านี้ผมคิดว่าผู้ชายไม่จำเป็นต้องดูแลผิวพรรณ ไม่จำเป็นต้องใช้โฟมล้างหน้า ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมกันแดด
ช่วงบ่ายเนื้อหาที่อาจารย์สอนก็จะเป็นการเล่าตัวอย่างประสบการณ์ของวิทยากรผ่านกรอบของทฤษฏี ทฤษฎีที่ผมสามารถเชื่อมโยงความรู้มายังแนวคิดและประสบการณ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดีน่าจะเป็นทฤษฎี “5 Drivers to Success” เรียกอย่างเท่ห์ๆ ว่า “5 พลังขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จ” ตามองค์ประกอบที่ผมได้ตีความเชื่อมโยงตามความเข้าใจของผม ดังนี้
1. Self Director : การกำกับตัวเอง รู้ว่ากำลังอยู่ในบทบาทใด กำลังทำอะไรอยู่ ผมสรุปว่าคือ การมีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา เมื่อจิตนิ่ง อารมณ์ ความรู้สึกทุกอย่างก็สามารถควบคุมได้โดยง่าย นั่นเอง
2. People Skill : ทักษะเรื่องคน การมีมนุษย์สัมพันธ์ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น การใช้พรหมวิหาร 4 เพื่อทำงานกับลูกน้อง อิทธิบาท 4 กับเจ้านาย สังคหวัตถุ 4 กับเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น
3. Communication Skill : ทักษะการสื่อสาร มีหลักอยู่ว่าจะสื่อสารอย่างไรให้ผู้รับสารได้รับประโยชน์สูงสุด จริงใจ กระชับ ชัดเจน
4. Process Skill : ทักษะการทำงานอย่างเป็นระบบ การทำงานต้องมีรูปแบบที่ชัดเจนอย่างเป็นระบบ มีระเบียบแบบแผนชัดเจน มีหลักบริหาร เช่น PDCA, POSCORB,3G, 4พิ เป็นต้น
5. Selling Skill : ทักษะในการขายความคิด จะต้องคิดนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ตรงเป้า เช่น ใช้หลัก QCD ของ TQM., ลูกค้าไม่ได้ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด แต่ลูกค้าต้องการสิ่งที่ลูกค้าต้องการ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ผิดหลักจริยธรรม
การฝึกอบรมวันที่สอง ผู้เข้ารับการอบรมเริ่มรู้จักกันมากขึ้น วิทยากรที่มาสอนในวันนี้คือท่าน รศ. วิกรณ์ รักษ์ปวง เนื้อหาวันนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ .”ศิลปะการพูดในที่ชุมชน และการพัฒนาบุคลิกภาพและความมั่นใจในการพูด” รูปการสอนในวันนั้นของท่านวิทยากรจะเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประสบการณ์และบรรยาย ไม่มีการปฏิบัติ ทำให้วันนั้นเราได้แค่แนวคิดนำหาเวทีในการฝึกต่อไป
เริ่มต้นท่านวิทยากรชวนคุยแบบสบายๆ โดยการให้หาประเด็นมาคุยกัน จากนั้นจึงให้เขียนประสบการณ์ปัญหาในการพูดในที่ชุมชนของแต่ละคนรวบรวมส่ง แล้ววิทยากรก็จะตอบปัญหาให้ทีละประเด็น เช่น การแก้ไขอาการประหม่า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสารให้ชัดถ้อยชัดคำ การสร้างมุกตลก เป็นต้น แต่ผมคิดว่าสิ่งที่อาจารย์ตอบคำถาม มันเป็นประสบการณ์ชั่วโมงบิน พูดง่ายแต่ทำยาก ทั้งนี้ต้องให้เวลากับการฝึกด้วย
ช่วงบ่ายเป็นเรื่องทฤษฎีการพูด โดยใช้คำคมจากผู้มีชื่อเสียงต่างๆ มาเป็นแกนการดำเนินเรื่อง การยกตัวอย่างสาทกจากเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง เช่น เรื่องจูล่งฝ่าทัพรับอาเต๊า ที่สอนวิธีการให้ได้ใจคนได้อย่างไร ช่วงหลังท่านจะใช้มุกเก่าๆ ที่เคยใช้กับหลักสูตรอื่นๆ มาสอนในหลักสูตรนี้ด้วย เช่น การคิดเคราะห์ การคิดแบบตรรกะ การคิดแบบ Concept เป็นต้น
การฝึกอบรมวันสุดท้ายเป็นวันที่ผมคิดว่าได้ความรู้อย่างประทับใจมากที่สุด วิทยากรที่มาสอนในวันนี้คือ ท่าน อ. ดร. สันทัด ศะสิวณิช ท่านวิทยากรเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์มากว่า 50 ปีคลุกคลีอยู่ในวงการทูตใช้ชีวิตในต่างแดนมากว่าครึ่งชีวิต อายุปัจจุบันท่านย่างเข้าสู่ 74 แล้ว แต่ยังดูแข็งแรงเหมือนคนอายุ 50 ปลายๆ เรื่องที่ท่านสอนจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับมารยาทการเข้าสังคมและการติดต่อธุรกิจ งานพิธีการต่างๆ รูปแบบการสอนในช่วงเช้าท่านจะเริ่มต้นด้วยการสร้างความเป็นกันเองกับผู้ฟัง ช่วนให้หาประเด็นมาคุยกันแล้วโยงเข้าไปยังเรื่องที่เกี่ยวกับบุคลิกภาพและมารยาททางสังคมตอบคำถามข้อสงสัย ได้อย่างชัดเจนและมีเหตุผล เช่น การเข้างานเกี่ยวกับราชพิธีต่างๆ เกี่ยวกับราชวงศ์ทุกอย่างมีที่มาที่ไป อย่างเป็นเหตุเป็นผล วิธีการทำความเคารพแบบต่าง ๆ เป็นต้น
ช่วงพักอาหารกลางวันจะเป็นช่วงหนึ่งของการฝึกอบรมด้วยคือ การฝึกมารยาทบนโต๊ะอาหารแบบสากล การใช้มีด ช้อน ส้อม การดื่มเครื่องดื่มชนิดต่างๆ มารยาทการวางตัวของชายและหญิง ซึ่งมีหลักใหญ่ๆ อยู่ว่า “หญิงเป็นใหญ่ ชายต้องเชื่อฟัง บริการ”
ช่วงบ่ายกลับมาอบรมต่อในเรื่องทฤษฎี โดยท่านจะเล่าประสบการณ์ให้ฟังเชื่อมโยงไปกับมารยาทการแต่งกาย การวางตัวในโอกาสต่างๆ นอกจากนี้ท่านยังบอกเคล็ดลับในการมีอายุยืนและมีสุขภาพดีด้วย เช่น การเลือกรับประทานอาหาร ให้หลากหลาย ครบ 5 หมู่ เป็นต้น
สุดท้ายท่านให้มองเรื่องบุคลิกภาพเป็น 4 องค์ประกอบดังนี้
- รูปลักษณ์ทางกาย : การแต่งการสุขภาพ สะอาดสะอ้าน
- ภูมิธรรมและปัญญา : มีความรู้ความสามารถในงานที่เกี่ยวข้อง
- ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ : มีสติ ความคุมจิต ให้นิ่ง
- มรรยาท :มีมารยาทวางตัวได้อย่างถูกต้องตามกาลเทศะ
ท่านมีความเป็นไทยสูงมากท่านเล่าว่า ท่านรับประทานอาหารมาแล้วทั่วโลก ไม่มีอาหารชาติใดจะอร่อยไปว่าอาหารไทย และอาหารไทยแท้ต้องเปิบด้วยมือเท่านั้น
ไม่มีความเห็น