โตอีกนิด......หนูจะตามไป2


"เดือนหน้าพี่มาบอกว่าจะให้อีก" เธอพูดต่อ ผมจึงลองถามดูอีกครั้งว่า"พี่สาวหนูทำ งานอะไรนะ" "หมอนวดค่ะ.......โตอีกนิดหนูจะตามไป"ตามไปไหน....หนูจะตามพี่สาวไปเป็นหมอนวดค่ะ...คำตอบที่ทำให้ผมอึ้ง!!!

 เมื่อวันก่อนผมเล่าเรื่องที่ขับรถจากที่ทำงานนำทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไปให้บริการที่หมูบ้านชาวเขาแห่งหนึ่ง .......

4wd 2 คัน แล่นออกจากที่ทำงาน หลังพวงมาลัยคันหลังคือผมที่นอกจากต้องเป็นหัวหน้าหน่วยบริการเคลื่อนที่แล้ววันนี้ทำหน้าที่ พขร.จำเป็นด้วย

            15 กม.จากที่ทำงานบนถนนราดยางอย่างดี แต่หลังจากที่เราเลี้ยวขวาออกจากถนนดำ กลายเป็นถนนลูกรังที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวตามสันเขา

        ผมจอดรถลงไปล๊อกล้อหน้ากับน้องอีกคนที่ไปด้วย พร้อมแล้วสำหรับ 4 wd คันนี้ที่ต้องพาอีกเกือบ 10 ชีวิตไปสู่การผจญภัย

ผมขับด้วยความระมัดระวังช้า ๆ เพราะรู้ว่า 22 กม.ต่อไปนี้ไม่ง่ายเลยสำหรับการดินทางไปหมู่บ้านนี้

         1.30 ชั่วโมง ผมพาคณะเดินทางมาถึงหมู่บ้าน ผมเดินไปหาผู้นำหมู่บ้านให้ช่วยประกาศให้ชาวบ้านรับรู้ถึงการมาของผมและคณะและให้มารับบริการได้

           15 นาที ชาวบ้านส่วนใหญ่วัยกลางคน ชราและเด็ก เริ่มทยอยเดินมาถึงที่โรงเรียน ซึ่งผมใช้เป็นจุดบริการ

              ผมรู้สึกแปลกใจทำไมจึงมีแต่เด็กและคนชรามารับบริการ หรือแม้แต่เดินมาดู ซึ่งปกติแล้วมักไม่พลาดที่ต้องมากัน

    "หนุ่ม ๆสาว ๆไปไหนกันหมดไม่มารับริการหรือ" ผมเอ่ยถามหญิงคนหนึ่งที่เดินมาหาผม

            "ไม่อยู่หรอก"

             "เค้าไปไหนกัน...ไปไร่หรือครับ"

            "เปล่า...เขาไปทำงานที่อื่น"

            ตอนแรกผมคิดว่าคงไปอีกหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ใกล้กัน

           "เขามีงานจ้างอะไรกันถึงไปกันหมด"

           "เขาไปทำงานที่เชียงใหม่ กรุงเทพฯ โน่น"

(จริง ๆคำพูดและภาษาที่เขาพูดไม่อย่างนี้หรอกครับ เหมือนลูลู่ ลาล่า ของโปงลางสะออนโน่น)

                  "นี่รอลูกสาวคนเล็กจบ ป.6 จะส่งไปอยู่กับพี่สาวเค้า" ผมหันไปมองตามมือที่ชี้ไป เด็กหญิงแต่งตัวน่ารักยืนอยู่อายุคงราวสัก 10 ปี

             "นี่หนูรู้ไหมว่าพี่สาวไปทำงานอะไร"

             "ไม่รู้ค่ะ"เสียงตอบเป็นภาษาไทยค่อนข้างชัด เพราะได้เรียนหนังสือ

               "เขาไปทำงานที่ กรุงเทพฯ บางคนไปหลายปีไม่กลับ" เธอพูดยิ้ม ๆ

                   แต่แล้วเสียงแม่เธอก็ส่งภาษาถิ่นที่ผมฟังไม่ออก แต่พอรู้ว่าดุลูกสาว

แล้วเด็กสาวก็หันหลังวิ่งไปเล่นกับเพื่อน

          ที่จริงผมอยากตามไปถามให้รู้ว่าพี่สาวเธอไปทำงานอะไรกันแน่

          ทำงานต่ออีกประมาณ 2 ชั่วโมง โชคเข้าข้างคนอยากรู้ เด็กน้อยคนเมื่อกี้เดินมากับเพื่อน ผมจึงร้องชมว่า "เสื้อสวยนะ" เธอยิ้มตอบตามประสาเด็ก  "ใครซื้อให้เนี่ย"    "พี่สาวค่ะ"  เธอตอบทันควัน

                    "เดือนหน้าพี่มาบอกว่าจะให้อีก" เธอพูดต่อ

               ผมจึงลองถามดูอีกครั้งว่า"พี่สาวหนูทำงานอะไรนะ"

                      "หมอนวดค่ะ.......โตอีกนิดหนูจะตามไป"

ตามไปไหน "หนูจะตามพี่ไปเป็นหมอนวด................."

                  คำตอบของหนูน้อย.....ทำให้ผมนิ่งอึ้งเลยครับ !!

จากคำตอบของเด็กน้อยในครั้งนั้น ผมยังจำมาจนทุกวันนี้ ผมเองเวลาออกหน่วยอีกครั้งผ่านหมู่บ้านนี้ผมมักสอดส่องสายตาดูว่าเด็กน้อยคนนั้นยังอยู่ดี อยู่กับพ่อแม่ที่บ้านนี้อยู่รึเปล่า ผมไม่กล้าลงไปถาม...

หากเป็นสมัยก่อน เป้าหมายชีวิตของเด็กพวกนี้คือต้องการเรียนหนังสือ ต้องการอยู่กับพ่อแม่ แต่ด้วยวิถีนิยมที่เปลี่ยนไปจากเดิมทำให้พวกเขาเปลี่ยน เปลี่ยนไปทั้งครอบครัว พ่อแม่ เฝ้ารอให้ลูกโต เพื่อส่งออกไปอยู่ที่อื่น ไปทำอาชีพอย่างว่า จนได้เงินทองกลับมา บางรายกลับมาพร้อมลูก และพร้อมโรค บางรายเมื่อออกจากบ้านครั้งนั้นแล้ว ไม่มีโอกาสหวลกลับมาอีกเลย

ด้วยภาวะทางสังคม ด้วยวิถีนิยมที่เปลี่ยนไปแบบแทบจะกู่ไม่กลับ เราจะโทษเขา โทษเด็ก โทพ่อ โทษ แม่คงไม่ถูกนักหรอกครับ ที่ถูกคือต้องโทษตัวเรา  โทษคนเมือง คนศิวิไลทั้งหลายต่างหากที่นำพาอสูรร้ายเข้ามาสู่ชีวิตเขา การเรียนรู้ การศึกษาไม่ใช่ความชั่วร้าย แต่ความเข้าใจที่ผิดต่างหากที่ทำร้ายเค้า แล้วใครจะยื่นมือมาช่วยพวกเขาได้......ผมอยากวอนสังคมที่เจริญกว่า คนที่รู้กว่า เก่งกว่า มีอำนาจกว่า ช่วยทีเถอะครับ...สงสารเด็กมัน.....

 

 

หมายเลขบันทึก: 293453เขียนเมื่อ 1 กันยายน 2009 21:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 พฤษภาคม 2012 06:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท