การศิลปของไทยเราทุกๆแขนง ย่อมต้องมีพิธีไหว้ครูประจำปีครั้งหนึ่ง และเมื่อเริ่มเรียนอีกครั้งหนึ่ง การไหว้ครูก่อนการเริ่มเรียนศิลปต่างๆ
การศิลปของไทยเราทุกๆแขนง ย่อมต้องมีพิธีไหว้ครูประจำปีครั้งหนึ่ง
และเมื่อเริ่มเรียนอีกครั้งหนึ่ง
การไหว้ครูก่อนการเริ่มเรียนศิลปต่างๆนั้น ก็เป็นการกระทำโดยย่อ
เพียงแต่เคารพครูหรือถวายตัวเป็นศิษย์แห่งเทพเจ้าผู้ถือว่าเป็นครูในศิลปนั้นๆ
ส่วนการไหว้ครูประจำปีโดยมากจะทำเป็นพิธีการที่ใหญ่โตขึ้น
ชื่อเทพเจ้าแห่งดุริยางคดนตรีนี้ ในโองการไหว้ครูจะปรากฏอยู่ 3 องค์
คือ พระปัญจสีขร
พระวิศวกรรม(พระวิษณุกรรมหรือพระเพชฉลูกรรม)
และพระปรคนธรรพ (พระประโคนธรรพ)
พระวิศวกรรม (พระวิษณุกรรมหรือพระเพชฉลูกรรม)
เป็นนายช่างใหญ่ของเทวดา นับเป็นเทพเจ้าแห่งศิลปการช่าง
ซึ่งโองการไหว้ครูกล่าวไว้ว่า "พระวิศวกรรมผู้เรืองฤทธิ์
ท่านประสิทธิ์สาปสรรค์ เครื่องเล่นสิ่งสารพันในใต้หล้า"
จะเห็นได้ว่าเครื่องดุริยางคดนตรีต่างๆที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นใช้บรรเลงนี้
ย่อมต้องใช้วิชาช่างเข้าประกอบทั้งสิ้น
จึงถือกันว่าการสร้างเครื่องดนตรีขึ้นได้นี้
ก็ด้วยอำนาจแห่งพระวิศวกรรม
ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งการช่างได้บันดาลให้เป็นไปโดยถูกต้องตามลักษณะ
และบังเกิดเสียงขึ้นได้
หรืออาจถือว่าพระวิศวกรรมเป็นผู้สร้างเครื่องดนตรีขึ้นก่อน
และประทานมาเป็นแบบฉบับให้มนุษย์เราได้ใช้บรรเลงสืบต่อกันมา
ฉะนั้นพระวิศวกรรมจึงเป็นเทพเจ้าแห่งดุริยางคดนตรีอีกองค์หนึ่ง
ตามที่ปรากฏในโองการไหว้ครู
พระปรคนธรรพ นามที่แท้จริงว่า "พระนารท (นา-รด)"
ซึ่งเป็นคนธรรพหรือพวกมีภูษณ (ผู้มีกำเนิด) จำพวกหนึ่ง
ซึ่งเข้าพวกเทวดาก็ได้ เข้าพวกมนุษย์ก็ได้ เพราะมีทั้งที่อยู่บนสวรรค์
และอยู่โลกมนุษย์ หรืออีกนัยหนึ่งว่ามีโลกต่างหากเรียกว่า"คนธรรพโลก"
อยู่ระหว่างสวรรค์กับโลกมนุษย์ มีหน้าที่รักษาโสม ชำนาญในการปรุงโอสถ
เป็นหมอดูผู้รอบรู้กิจการทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ทั้งยังเป็นผู้ชำนาญในการขับร้อง และดุริยางคดนตรี เป็นพนักงานขับร้อง
และบรรเลงดนตรีขับกล่อมพระเป็นเจ้า และเทพยนิกร
ผู้ที่เป็นครูผู้เฒ่าของการขับร้อง และดนตรีนี้คือ "พระนารทมุนี"
ซึ่งเป็นผู้คิดทำพิณขึ้นเป็นอันแรก จึงได้นามว่า "ปรคนธรรพ"
แปลว่ายอดของคนธรรพ บางทีก็เรียกว่า มหาคนธรรพ, เทพคนธรรพ,
คนธรรพราช
- พระนารทนี้เป็นพรหมฤาษี เป็นประชาบดี และเป็นตนหนึ่งในทศฤาษี
(ประชาบดีทั้งสิบ หรือมหาฤาษีทั้งสิบ)
นัยหนึ่งว่าเกิดจากพระนลาฏของพระพรหมา
แต่คัมภีร์วิษณุปุราณะกล่าวว่าเป็นโอรสพระกัศยปประชาบดี
ด้วยเหตุนี้พระนารทจึงถือเป็นเทพเจ้าแห่งดุริยางคดนตรีองค์หนึ่ง
เรียกว่า "พระปรคนธรรพ"
พระปัญจสีขร ในภาษาบาลีเรียกว่า "ปัญจสิข"
เดิมเป็นเด็กเลี้ยงโค มีผม 5 แหยม
ได้สร้างสิ่งที่เป็นสาธารณะประโยชน์คือ ศาลา สระน้ำ ถนน และยานพาหนะ
ได้เสียชีวิตลงตั้งแต่วัยหนุ่ม
และไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในชั้นจาตุมหาราช ชื่อว่า
"ปัญจสิขคนธรรพเทพบุตร" มี 5 ยอด ร่างกายเป็นสีทอง มีกุณฑล
ทรงอาภรณ์ประดับด้วยนิลรัตน์ ทรงภูษาสีแดง มีความสามารถในเชิงดีดพิณ
และขับลำนำ ตามสักกปัญหสูตรกล่าวว่า
เมื่อพระอินทร์จะไปทูลถามปัญหาพระพุทธเจ้า ซึ่งเสด็จประทับอยู่ ณ
ถ้ำอินทสาลคูหา หว่างเขาเวทิยกบรรพต กรุงราชคฤห์
ก็ต้องให้ปัญจสิขคนธรรพเทพบุตรเป็นผู้นำเข้าเฝ้าทูลขอโอกาสให้ก่อน
เพราะ
"ปัญจสิขคนธรรพเทพบุตรเป็นพระพุทธอุปัฏฐากคุ้นเคยสนิทในพระพุทธบาทยุคล
คิดจะทำอันใดก็ทำได้ แม้ถามปริศนาแล้วก็ฟังพระธรรมเทศนาเล่า
อาจทำได้ดังนั้น ในขณะพระองค์ปรารถนา และไม่ปรารถนา
เทพยดาอื่นๆไม่คุ้นเคยเหมือนปัญจสิขคนธรรพนี้"
ก่อนที่จะกราบทูลพระพุทธเจ้า ขอประทานโอกาสแก่พระอินทร์ในครั้งนั้น
ปัญจสิขคนธรรพเทพบุตรได้ดีดพิณ และขับลำนำ พรรณนาพระพุทธคุณ
พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นข้ออุปมาเปรียบด้วยกามคุณ
ดังที่เคยขับประโลมนางสุริยวัจฉสา (ราชธิดาพระเจ้าติมพรุคนธรรพเทวราช)
มาแล้ว การขับลำ และดีดพิณครั้งนี้ พระพุทธองค์ทรงชมเชยว่า "เสียงพิณ
และเสียงขับแห่งท่าน สัณหน่าฟังนัก กลมกล่อมกันไป ไม่แตกไม่แยกกันเลย
เสียงพิณก็เข้ากับเสียงขับ เสียงขับกับเสียงพิณมีลีลาศอันละมุนละม่อม
เสมอสมานกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว"
ครั้นเมื่อปัญจสิขคนธรรพเทพบุตรสนทนากับพระพุทธองค์ตามสมควรแล้ว
จึงทูลขอประทานโอกาสให้แก่พระอินทร์ พระพุทธองค์ก็ทรงประทานพุทธานุญาต
พระอินทร์กับบริวารจึงได้เข้าเฝ้าทูลถามปัญหาตามประสงค์
-
เมื่อพระอินทร์ได้ทูลถามปัญหา และฟังพระธรรมเทศนาเสร็จแล้ว
จึงมีเทวโองการว่า "ดูกรพ่อปัญจสิขเทพบุตร
เจ้ามีคุณูปการแก่เราครั้งนี้นักหนา
ตัวเจ้านี้ยังสมเด็จพระผู้มีพระภาคให้เลื่อมใสก่อนแล้ว
เราจึงได้เข้ามาทัศนาการกราบถวายมนัสการ
ให้ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเราต่อเมื่อภายหลัง
เราจะตั้งเจ้าไว้ในที่อันเป็นบิดา
เจ้าจงเป็นสมเด็จพระเจ้าปัญจสิขคนธรรพเทพบุตรราช
เราประสาทซึ่งนางสุริยวัจฉสา อันเป็นนางเทวธิดา
ปรากฎให้เป็นมเหสีสำหรับยศแห่งท่าน" อันพิณของพระปัญจสีขร (ปัญจสิข)
นี้ ตามบาลีแห่งพระสูตรนี้ว่ามีพรรณเลื่อมเหลือง ดุจผลมะตูมสุกสะอาด
ตระพองพิณนั้นแล้วด้วยทองทิพย์ธรรมดา คันนั้นแล้วด้วยแก้วอินทนิลมณี
มีสาย 50 สาย แล้วด้วยเงินงาม เวทกะ (ลูกบิด)
ที่สอดสายเสียบอยู่ปลายคันนั้นแล้วด้วยแก้วประพาฬดังนี้
-
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็เป็นข้ออ้างอันสมควรที่สุดที่จะยก
"พระปัญจสีขร" เป็นเทพแห่งดุริยางคดนตรีองค์หนึ่ง
ขอขอบคุณ http://www.anurakthai.com/
เป็นอย่างสูงที่นำความรู้นี้มาเผยแพร่ครับ