ละครเกาหลีเรื่อง “แดจังกึม จอมนางแห่งวังหลวง” เป็นละครยอดนิยมที่ใคร ๆ ต่างก็กล่าวขวัญถึง ผู้เขียนเองเมื่อได้ดูละครเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมละครเรื่องนี้จึงเป็นที่ติดอกติดใจของคนดู ละครเรื่อง แดจังกึม ได้สร้างโดยอิงประวัติศาสตร์ของเกาหลี ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมของเกาหลี โภชนาการ โภชนาบำบัด สมุนไพร การบริหารคน หรือกระบวนการเรียนรู้ นอกจากความบันเทิงแล้วสิ่งเหล่านี้ทำให้คนดูได้รับประโยชน์อย่างมากมาย ในคราวนี้จะขอสะท้อนภาพการเรียนรู้จากละครเรื่อง แดจังกึม ก่อนก็แล้วกัน
แดจังกึม เป็นเรื่องราวของตัวเอกที่ชื่อ “ ซอจังกึม ” ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนเด็กสาวที่เข้าไปเป็นนางในของห้องเครื่องประจำตำหนักใหญ่ ในวังหลวง ตั้งแต่อายุแปดขวบ เพื่อที่จะเรียนรู้การทำอาหาร กระบวนการเรียนรู้ของเด็กสาวเหล่านี้น่าสนใจมาก กระบวนการเรียนรู้ในการทำอาหารต่าง ๆ จะผ่านคุณครู (ตำแหน่งซังกุง) ทั้งหลาย ซึ่งล้วนแต่มีกลวิธีในการสอนที่น่าสนใจทั้งสิ้น สำรับการเรียนรู้ สำรับนี้ มีทั้งหมด 5 ถ้วย เรามาเปิดดูถ้วยแรกกันเลยดีกว่า
ถ้วยที่ 1 ปรัชญาการศึกษา - เหล่าซังกุงทั้งหลายมีความเชื่อเหมือนกันว่า อาหารนั้นนอกจากจะเป็นสิ่งที่ใช้บำรุงร่างกายให้เจริญเติบโตแล้ว ยังเป็นเครื่องบำบัดโรคภัยที่มาเบียดเบียนร่างกายนอกเหนือไปจากยารักษาโรคอีกด้วย เราจะเห็นได้ว่าซังกุงทั้งหลายในเรื่องจะช่วยกันตอกย้ำความเชื่อนี้ให้แก่ผู้เรียนทุกคน จากคำพูดที่ว่า “อาหารที่ดีไม่เพียงแต่จะเลิศรสเท่านั้น ยังต้องช่วยบำรุงร่างกายและจิตใจของคนที่กินอาหารให้พบแต่ความสุขด้วย”
ถ้วยที่ 2 เป้าหมายของการศึกษา - ตามความเชื่อดังกล่าวข้างต้น การจัดการเรียนรู้จึงมีเป้าหมายที่จะสร้างผู้เรียนทุกคนให้เป็นผู้ที่มีความสามารถในการทำอาหารที่เลิศรส และมีความรอบรู้ในคุณสมบัติและสรรพคุณของอาหารแต่ละชนิด (ถือว่าเป็นมาตรฐานขั้นต่ำ)
ถ้วยที่ 3 การจัดการเรียนรู้ - ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้มีลำดับขั้นตอนในการฝึกผู้เรียนคือ เริ่มต้นจะมีการทดสอบไหวพริบและปฏิภาณของผู้เรียน โดยการสัมภาษณ์และตอบคำถาม เพื่อดูความสามารถพื้นฐานของผู้เรียน จากนั้นจะแบ่งผู้เรียนให้ซังกุงแต่ละคนเป็นผู้ดูแลฝึกฝนในระดับต่อไป โดยเริ่มต้นจากงานเก็บล้างภาชนะและพืชผักก่อน แล้วจึงเลือกผู้เรียนที่มีแววในการทำอาหาร ไปเรียนรู้การทำอาหารต่อไป
การเรียนรู้การทำอาหารนั้น ซังกุงแต่ละคนจะฝึกฝนผู้เรียนในความรับผิดชอบของตน
แตกต่างกันไป แต่ที่เหมือนกันก็คือ ผู้เรียนทุกคนได้เรียนรู้การทำอาหารโดยเริ่มต้นจากการฝึกประสาทสัมผัสทั้งห้า ผู้เรียนจึงต้อง สัมผัส สังเกต ชิม ฟัง ดม วัตถุดิบทุกชนิดที่ใช้ในการประกอบอาหารแต่ละชนิด จนสามารถแยกแยะความแตกต่างของวัตถุดิบแต่ละชนิดได้อย่างแม่นยำ ทั้งยังต้องจดจำให้ได้ว่าวัตถุดิบแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและสรรพคุณอย่างไร ในขั้นตอนนี้ผู้เรียนจะได้รับความรู้ทั้งจากการบอกกล่าวของซังกุงเอง ทั้งจากการศึกษาค้นคว้าจากตำรา และจากภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวบ้านที่ตนเองได้พบได้รู้มา จากนั้นจึงได้ลงมือทำอาหารจริง ๆ โดยมีซังกุงแต่ละคนเป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด
ถ้วยที่ 4 สื่อที่ใช้ในการเรียนการสอน - จะเห็นได้ว่าในละครเรื่องนี้สื่อที่ผู้เรียนได้ใช้ในการเรียนรู้ เป็นของจริงเป็นส่วนใหญ่ (ไม่ได้เอาปลาทะเลจำลองมาให้ผู้เรียนได้สัมผัส ดู หรือ ดม ) นอกจากสื่อของจริงแล้วก็ยังมี ตำราจากห้องสมุด และตำราที่สร้างขึ้นโดยซังกุง ซึ่งจดบันทึกเทคนิคการปรุงอาหารที่ตนเองค้นพบเอาไว้ให้ซังกุงรุ่นหลังได้ศึกษา
ถ้วยที่ 5 การวัดผลและประเมินผล - กระบวนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนในเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ผู้ชมติดอกติดใจกันมากเหลือเกิน เพราะเมื่อมีการวัดผลประเมินผลแต่ละครั้ง ล้วนแต่ทำให้ผู้ชมทั้งหลายคอยลุ้นระทึกว่า นางเอกของเรื่องจะผ่านการประเมินหรือไม่ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนจะวัดทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ กล่าวคือในภาคทฤษฎีนั้นจะมีการให้ผู้เรียนตอบคำถามเกี่ยวกับความรู้เรื่องอาหารชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติหรือสรรพคุณของอาหาร ไปจนถึงตำนานหรือที่มาของอาหารกันเลยทีเดียว ( ผู้ชมก็พลอยได้รับความรู้เรื่องอาหารไปด้วย โดยไม่ต้องเสียเวลาค้นคว้า ) เมื่อสอบภาคทฤษฎีแล้วก็มาสอบภาคปฏิบัติ ซึ่งมีแบ่งเป็น 2 ตอน คือ
ตอนที 1 มีการกำหนดวัตถุดิบในการปรุงอาหารให้แล้วปรุงอาหารตามที่ครู
กำหนด ( เป็นตัวชี้วัดว่านักเรียนทุกคน ควรทำได้ คือผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของหลักสูตรนั่นเอง ) จากนั้นจึงเป็น
ตอนที่ 2 ที่ให้นักเรียนเลือกทำอาหารที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถของตนมา
สร้างสรรค์อาหารขึ้นเอง จึงได้อาหารที่แปลกใหม่ตามแต่ความคิดของผู้เรียนแต่ละคน อาหารที่ผู้เรียนทำแต่ละชนิดนั้นจะมีเกณฑ์การตัดสินเป็นระดับคุณภาพ (ไม่เป็นคะแนน) ซึ่งเกณฑ์การตัดสินได้แก่ รสชาติของอาหาร สีสันและความสวยงาม คุณสมบัติหรือสรรพคุณของอาหาร ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และกระบวนการแก้ปัญหาของผู้เรียน ขณะดูละคร ผู้เขียนอดคิดไม่ได้ว่า นี่ชาวเกาหลีเขามีกระบวนการเรียนรู้ที่ทันสมัย (มานานมาก) หรือพวกเรากำลังทำในสิ่งที่ล้าสมัย (ในเกาหลี )กันแน่ สิ่งที่ประทับใจคนดูละครโดยทั่วกันก็คือ การกำหนดโจทย์การแข่งขันจากในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันของเด็กสาว ๆ ที่เป็นนางใน หรือการแข่งขันระหว่างซังกุงด้วยกัน เพื่อชิงตำแหน่งซังกุงสูงสุด เช่น
“เนื่องจากภาวะข้าวยากหมากแพง ให้ทำอาหารอะไรก็ได้ที่ใช้วัตถุดิบ จากสิ่งที่ชาวบ้าน
ไม่ใช้ประโยชน์แล้ว หรือทิ้งไป”
“ให้ทำอาหารจากของทะเลสด ๆ โดยใช้กินได้ตลอดปี” ในเรื่องนี้ของทะเลสดเป็นสิ่งที่หาได้ยาก เนื่องจากไม่มีตู้เย็น จึงไม่สามารถเก็บไว้นาน ๆ
จะเห็นได้ว่ากระบวนการเรียนรู้ในละครเรื่อง แดจังกึม ฯ เป็นตัวอย่างที่ดีในการจัดการเรียนการสอนตามแนวปฏิรูปการเรียนรู้ ซึ่งกำลังขับเคลื่อนกันอยู่ชนิดตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต ละครเรื่องนี้จะสะท้อนให้เห็นว่า ซังกุง (คุณครู) แต่ละคน ล้วนมีความรู้ความสามารถในวิชาชีพของตนเองอย่างแท้จริง ทั้งยังมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ตลอดจนการดูแลฝึกฝนให้ผู้เรียนในความดูแลของตน ผ่านมาตรฐานการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี กระบวนการเรียนรู้นี้ นอกจากจะเรียนรู้เรื่องการทำอาหารแล้ว ยังสอดแทรกกระบวนการคิดวิเคราะห์ กระบวนการแก้ปัญหา และคุณธรรม จริยธรรมไว้โดยตลอดอีกด้วย สิ่งที่น่าประทับใจก็คือการฝึกให้ผู้เรียน เป็นคนช่างสังเกต คิดวิเคราะห์ และเรียนรู้โดยผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า จากขั้นไม่ได้การ เป็นขั้นชำนาญ และเชี่ยวชาญในที่สุด
ไม่มีความเห็น