เจเจ
เจเจ http://www.hi5.com/friend/profile/displaySameProfile.do?userid=175773721 jj chansakul

หนังสือรางวัลซีไรต์สามเล่ม


หนังสือรางวัลซีไรต์สามเล่ม


เล่มที่ ๑.

อมตะ
โดย วิมล ไทรนิ่มนวล
สยามประเทศสำนักพิมพ์/จัดพิมพ์
ได้รับรางวัลในปี ๒๕๔๓





ได้รับคำยกย่องจากคณะกรรมการตัดสินรางวัลนี้ตอนหนึ่งว่า

"เป็นนวนิยายแห่งจินตนาการถึงโลกอนาคตเกี่ยวกับการแสวงหาความเป็นอมตะของชีวิต
โดยใช้รูปแบบวิวาทะระหว่างแนวคิดบริโภคนิยม กับแนวคิดทางศาสนาของโลกตะวันออก"


เรื่องย่อ : ชีวัน อายุได้ ๒๒ ปีเต็มกว่าที่เขาจะรู้ตัวว่า ตนเองไม่ใช่คนจริง ๆ ที่เกิดจากการปฏิสนธิตามธรรมชาติ
หากแต่เป็น'คนโคลน' - - ที่ถูกโคลนมาจากคนที่เขาเรียกว่า 'พ่อ' - -นายพรหมินทร์ ธนบดินทร์

"พรหมินทร์" เป็นนักธุรกิจใหญ่ ประธานและเจ้าของบริษัทในเครือบำเรอบริภัณฑ์ จำกัด
และโรงพยาบาลเอกชนใหญ่แห่งหนึ่ง
แม้กฏหมายการ"โคลนนิ่ง"ยังไม่ผ่านสภา
แต่เขาก็อาศัยช่องโหว่ของกฏหมายที่ว่าด้วยการโคลนเพื่อการวิจัยของโรงพยาบาล
ทำการโคลน "ร่างโคลน" ของตัวเอง และคัดเลือกร่างโคลนที่แข็งแรงไว้
นำมาเลี้ยงดู - -เพื่อใช้เป็น "อะไหล่" เมื่อตัวเองอายุมากขึ้น


*********

ชีวันยอมเข้ารับการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนถ่ายอวัยวะให้กับพรหมินทร์โดยดุษณี...
หลังจากที่เตลิดไปเมื่อรับรู้ความจริงใหม่ ๆ พักใหญ่ ๆ
แล้วเขาก็ได้รู้จักกับ "อรชุน" - นักจิตบำบัดที่ถูกส่งมาบรรเทาความเครียดให้เขาก่อนการผ่าตัด
เขาได้เรียนรู้ว่า...ที่แท้อรชุนก็เป็นอีกหนึ่งร่างโคลนของพรหมินทร์ที่หลุดรอดจากการถูกกำจัดเมื่อ ๒๒ ปีก่อน
เขากลับมาเพื่อต้องการแก้แค้นคนต้นแบบของเขา
(โดยการเข้ามามีความสัมพันธ์กับรติรัตน์ ลูกสาวคนหนึ่งของพรหมมินทร์)
และเพื่อช่วยเหลือคนโคลนคนอื่น ๆ ที่เขาคิดว่ามีศักดิ์และสิทธิในความเป็นมนุษย์เท่า ๆ กับคนต้นแบบ
อรชุนได้ผ่านการบวชเรียนและศึกษาปฏิบัติธรรมมาไม่น้อย...ประกอบกับการเป็นนักจิตบำบัด
เขาใช้คำสอนของพระพุทธเจ้าประกอบกับประสบการณ์ทางจิต
มาโน้มน้าวจิตใจของพรหมินทร์ให้เปลี่ยนวิธีการ
โดยแทนที่จะเปลี่ยนถ่ายอวัยวะต่าง ๆ ของชีวัน...ทีละส่วน
ซึ่งใช้เวลาในการฟื้นตัวค่อนข้างนาน

เขาเสนอ"ร่าง"ของตัวเองให้พรหมินทร์เปลี่ยนถ่าย "สมอง"
ซึ่งเขาเชื่อว่าคือต้นกำเนิดแห่งความรู้สึกนึกคิด...และคือตัว"ชีวิต"ที่แท้
ซึ่งจะใช้การผ่าตัดเพียงครั้งเดียว...

ในเงื่อนไขที่ว่า...พรหมินทร์จะต้องคืนอวัยวะต่าง ๆ ให้กับชีวัน
เมื่อพรหมินทร์ตกลง การผ่าตัดก็เริ่มขึ้น....

การเปลี่ยนอวัยวะคืนให้กับชีวันที่ทำไปพร้อมกับการเปลี่ยนถ่ายสมองของพรหมินทร์มาใส่ในร่างกายของอรชุนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี



**********

เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ที่อิงหลักปรัชญาทางพุทธศาสนาไว้อย่างลึกซึ้ง
ทั้งพล็อตและการดำเนินเรื่อง เป็นไปอย่างน่าสนใจ ชวนติดตามและครุ่นคิด...
มีการเสียดเย้ย ประชดประชันมนุษย์ที่แสวงหาแต่ความเป็นอมตะให้แก่ชีวิตตน
และพร้อมกันก็พยายามกล่อมเกลาจิตใจด้วยหลักธรรมะปฏิบัติง่าย ๆ ...

"...คนทั่วไปไม่ค่อยได้มีชีวิตอยู่จริง พวกเขามีชีวิตอยู่แบบเทียม ๆ ทั้งนั้น ...
เมื่อความคิดของผมสิ้นสุดลง เวลามันหายไป ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต
ผมจึงรู้ชัดว่า ชีวิตของผมมีอยู่เฉพาะตรงหน้า...ตรงทุกขณะแห่งปัจจุบัน
มันสดใหม่เสมอเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นนิรันดร์..."



***********

"...โลกอันชราย่อมนำไป ...ไม่ยั่งยืน...โลกไม่มีอะไรต้านทานความเจ็บป่วย...ไม่เป็นใหญ่...
โลกไม่ใช่ของตน...เพราะทุก ๆ คนจำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป...ด้วยอำนาจของความตาย...
โลกพร่องอยู่...ไม่มีอิ่ม...เป็นทาสของตัณหา...คือความดิ้นรนทะยานอยาก"


ในตอนท้ายเรื่อง ผู้เขียนยังทิ้งปมปริศนาคาใจผู้อ่านไว้อีกว่า...
แท้ที่จริงแล้ว...ความรู้สึกนึกคิด ชีวิตจิตใจที่อยู่ในร่างของอรชุนนั้นคือใครกันแน่...

อรชุนหรือพรหมินทร์?





เล่มที่ ๒

ช่างสำราญ
โดย เดือนวาด พิมวนา
สนพ.สามัญชน/จัดพิมพ์
ได้รับรางวัลในปี ๒๕๔๖






เรื่องย่อ : "ช่างสำราญ" เป็นชื่อสกุลของเด็กชายวัยห้าขวบคนหนึ่ง
เด็กชายกำพล ช่างสำราญ - - หรือที่ใคร ๆ ในชุมชนนั้นเรียกว่า "ไอ้หนู"
ไอ้หนูเป็นเด็กบ้านแตก แม่หนีตามชายชู้ไป
พ่อไม่สามารถดูแลเขากับน้องได้จึงหอบน้องชายวัยขวบเศษไปฝากไว้กับย่า
ทิ้งให้เขากลายเป็นเด็กกำพร้าสมบูรณ์แบบ กินข้าวบ้านนู้น นอนบ้านนี้...
ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ ในชุมชนเล็ก ๆ แห่งนั้น

เขากลายเป็นภาระและหน้าที่กลาย ๆ ของผู้คนในชุมชน
ที่แรก ๆ ก็ดูเหมือนว่าต่างก็แย่งกันรับหน้าที่ดูแลเด็กน้อย

หากบางครั้งและบ่อยครั้ง - - ด้วยแต่ละครอบครัวก็ต่างอยู่ในภาวะปากกัดตีนถีบ - -
เด็กน้อยก็ถูกละเลย หรือลืมเลือนไปบ้าง

พ่อกับแม่ผลัดกันเข้ามาโอบอุ้มชั่วครั้งชั่วคราว
แต่เมื่อพวกเขาพบเส้นทางเดินของตัวเองพวกเขาก็ผละจากไปอย่างง่ายดาย

เด็กชายกำพล ช่างสำราญ - -ก็ใช้ชีวิตเล็ก ๆ ของตัวเองต่อไป...อย่างโดดเดี่ยว...ตามลำพัง



************


งือ...เล่มนี้เศร้าอ่ะ

ทั้ง ๆ ที่โทนเสียงผู้เล่าเรียบเรื่อยมาก ๆ เลย...ออกแนวมองโลกในแง่ดีด้วยซ้ำ
ผู้เขียนใช้วิธีเล่าเรื่อง โดยใช้ชีวิตและมุมมองของเด็กชายกำพลเป็นตัวเดินเรื่อง
ทำให้เราได้รู้จักและเห็นภาพชีวิตของผู้คนในชุมชนผ่านสายตาเด็กน้อยวัยห้าหกขวบ ที่อ่านแล้วก็อุ่นใจอยู่บ้างว่า...โลกของกำพลก็ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียว

หนังสือแบ่งออกเป็นตอน ๆ สั้นบ้างยาวบ้าง แต่ละตอนจะมีประเด็นมีเกร็ดเล็ก ๆ น้อยให้ผู้อ่านได้เข้าถึงหัวจิตหัวใจเด็กกำพร้าอย่างกำพล
มีแทรกมุกตลก ขัน ๆ อยู่ประปราย...ตามประสาเด็ก ๆ แต่เป็นอารมณ์ขันที่...ทั้งขื่นและขมปร่าทีเดียว

อย่างตอนที่กำพลรู้สึกสับสน เมื่อเขาถูกผู้ใหญ่หลายคนตั้งข้อกำหนดกฎเกณฑ์เอากับเขาเพราะเห็นว่าเขาไม่มีพ่อแม่...
นั่นทำให้เขารู้สึกว่า...เขาไม่มีพ่อไม่มีแม่ แต่เขากลับมีผู้ปกครองเยอะแยะไปหมด
เขาจึงต้องสถาปนาตัวเองเป็นผู้ปกครองตัวเองและคอยเตือนตัวเองให้ทำนั่นทำนี่ก่อนที่คนอื่นจะสั่ง...

.................

หรือตอนที่กำพลบอกว่าเขากับเพื่อน ๆ อีกหลายคนเกิดพร้อม ๆ กัน
เพราะแม่ของพวกเขากินยาคุมที่หมดอายุชุดเดียวกัน
อึ้งและน้ำตาซึมเลยค่ะเมื่ออ่านถึงตอนที่กำพลพูดปนสะอื้นว่า...

"ไม่ต้องเอายามาคุมหรอก ไม่ได้อยากเกิดมาสักหน่อย"

เด็กหกขวบ...คิดขนาดนี้ เฮ้อ...

ยังมีอีกหลายบทหลายตอนที่อ่านแล้วสะท้อนสะเทือนใจในชะตาชีวิตของเด็กชายกำพล ช่างสำราญ...
ชีวิตเล็ก ๆ ชีวิตหนึ่งบนโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้





เล่มที่ ๓

ม้าก้านกล้วย
กวีนิพนธ์ โดย ไพวรินทร์ ขาวงาม
แพรวสำนักพิมพ์/จัดพิมพ์
ได้รับรางวัลซีไรต์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘






"ม้าก้านกล้วย" เป็นรวมบทกวีนิพนธ์ไทยร่วมสมัยที่สะท้อนให้เห็นถึงพลังชีวิตและจิตใจของคนชนบท
ที่นิราศสู่เมืองหลวงด้วยความใฝ่ฝันและความหวังถึงชีวิตที่ดีกว่า
และได้กลายเป็นพลังสำคัญอันสร้างสรรค์สังคม…
ไพวรินทร์สามารถใช้กลวิธีทางวรรณศิลป์ สร้างความกลมกลืนของรูปแบบและเนื้อหาด้วยการสรรคำกวีโวหาร และลำนำแห่งเสียง
ถ่ายทอดอารมณ์สะเทือนใจให้ผู้อ่านได้ร่วมรับรู้ความรู้สึกนึกคิด อย่างสมบูรณ์ งดงาม

ผู้แต่งได้อาศัยจินตนาการจากวัยเยาว์ ผสานกับแรงบันดาลใจจากคำสั่งสอนและความฝันของผู้เป็นพ่อ
นำมาเรียงร้อย บอกเล่าเส้นทางแห่งชีวิตและการแสวงหา
ผ่านบทกวีหลากประเภท ทั้งกลอนหก กลอนแปด กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ ...
ที่อ่านแล้วประเทืองทั้งอารมณ์ให้ร่วมฝัน...
อีกประเทืองปัญญา...เพาะพันธุ์กล้าแห่งจิตสำนึกรักบ้านเกิดให้งอกงาม



*************

ส่วนตัวชอบอ่านกวีนิพนธ์ ประเภทร้อยกรองอยู่แล้ว
เคยมีหนังสือเล่มนี้เวอร์ชั่นแรก ๆ ตอนที่ได้รางวัลใหม่ ๆ
แต่...อารมณ์ประมาณว่า "ของตาย" เลยผัดผ่อนเรื่อยมา...
เมื่อทำบล็อกแรก ๆ เคยคิดจะหยิบมาอ่านเพื่อรีวิวลงบล็อก แต่หาหนังสือไม่เจอแล้ว
จนมาถึงเข้าร่วมเล่นเกมทริปเปิ้ลอาร์นี้...ไปรื้อตู้หนังสืออีกที ไม่เจอที่บ้านตัวเองค่ะ
แต่ไปเจออยู่ในตู้ที่บ้านน้อง...ไม่ใช่เล่มที่ตัวเองซื้อไว้หรอกนะ...ของน้องน่ะ เลยยื้มมาอ่าน...
จบลงไปด้วยความอิ่มใจในรสแห่งวรรณศิลป์...ที่แรมร้างห่างหายไปเนิ่นนาน

บทนี้เป็นบทที่โปรยปกหลัง...ชอบมากขออนุญาตคัดมาลงทั้งหมดก็แล้วกัน


**ไหมแท้ที่แม่ทอ**

แม่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมตั้งใจนัก
เรี่ยวแรงรักแม่ใช้เพื่อใฝ่ฝัน
อีกสาวไหมด้วยมือซื่อสัตย์นั้น
ทั้งทอมันละเมียดละไมใช้เวลา

สื่อวิญญาณผ่านมือสู่เส้นไหม
แต่ละใยแต่ละเส้นเป็นเนื้อผ้า
ตีนที่ใช้กระตุกกี่คือชีวา
มือที่คว้ากระสวยวาดคือชีวิต

ผ้าขาวม้าผืนใหม่แม่ให้ลูก
รักพันผูกทุกใยไหมวิจิตร
ใยไหมโยงใจแม่เนรมิต
ไหมอุทิศแม่ก็ทอต่อตำนาน

ลูกก็ถือผ้าทอที่แม่ให้
เป็นเยื่อใยไหมและแม่ที่กล้าหาญ
ผ้าทั้งผืนมีชีวิตจิตวิญญาณ
ถักประสานสอดสร้างอย่างแยบยล

มือน้อยน้อยของแม่ดูแค่นี้
เคยเฆี่ยนตีลูกบ้างในบางหน
แต่มือเดียวกันนี้แหละสู้ทน
ประคองลูกให้พ้นภยันตราย

แหละมือนี้ที่บันดาลงานชีวิต
มิเคยคิดค่าแรงแข่งซื้อขาย
ยังถักทอทรมาน์ยังท้าทาย
ยังมั่นหมายผ้าไหมผืนใหม่มา

พร้อมทั้งสอนลูกสาวเจ้าศรีเรือน
อยู่เป็นเพื่อนแม่ทอปรารถนา
เพื่อสืบทอดแรงงานกาลเวลา
ก่อนมือแม่จะอ่อนล้าต้องลาพัก

และสอนเจ้าลูกชายให้ทรนง
รักแม่ก็ขอจงทำงานหนัก
ด้วยละเอียดอ่อนในเยื่อใยรัก
พลีชีวิตเพื่อถักและทอไท

สักวันหนึ่งถึงไม่มีชีวิตแม่
ลูกที่แท้ก็คงทอสืบต่อได้
แม่ก็ทอลูกก็ทอต่อเส้นใย
ผ้าชีวิตผืนใหม่จะต้องงาม

หมายเลขบันทึก: 286787เขียนเมื่อ 13 สิงหาคม 2009 13:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 02:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

อยากได้เรื่องย่อม้าก้านกล้วยจังอ่ะ งงๆอยุ่

อ่านไม่ค่อยเป็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท