เว็บไซต์สื่อทางเพศ ไม่ใช่ไม่มีทางออก
แต่ไม่ออกเอง[1]
ในช่วง 2-3
เดือนที่ผ่านมา
กระแสความเคลื่อนไหวในการปิดกั้นเว็บไซต์เป็นมาตรการหลักที่ถูกจัดทำโดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสาร
นอกจากเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมประเภทอื่นๆ แล้ว
"เว็บไซต์สื่อลามกอนาจาร" เป็นเป้าหมายหลักของมาตรการนี้
มาตรการดังกล่าวถูกต่อต้านว่าจากกลุ่มเสรีนิยมสุดโต่งว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องของเสรีภาพ ไม่ควรมีขอบเขตหรือการควบคุมดูแล
ดังนั้น การบล็อกเว็บไซต์จึงเป็นเรื่องที่ผิดอย่างมหันต์
ความคิดนี้ไม่ได้ผิดทั้งหมด กิจกรรมในเรื่องเพศซึ่งมีหลายเรื่อง เช่น
การมีเพศสัมพันธ์ การสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเพศ
การประกอบธุรกิจในข้อมูลเรื่องเพศเป็น "เสรีภาพ" ที่สามารถมีได้
แต่ต้องไม่ขัดต่อศีลธรรมและความสงบของสังคม
การบล็อกเว็บไซต์จึงสามารถกระทำได้
แต่ต้องเป็นเว็บไซต์ที่สังคมเห็นไปแนวทางเดียวกันว่า
ไม่ควรให้มีการปรากฏตัวในสังคมได้เลย
วันนี้มาตรการดังกล่าวเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?
มีการแยกแยะประเภทของสื่อทางเพศ แยกแยะระดับความรุนแรงแล้วหรือ
?
คำตอบในเรื่องนี้คือ "ไม่"
การปิดกั้นเว็บไซต์หรือการบล็อกเว็บไซต์เป็นการจัดการที่ตัว "สื่อ"
ซึ่งได้ผลเพียงชั่วคราว
มีช่องทางหรือวิธีในการหลีกเลี่ยงการบล็อกได้หลายวิธี เช่น
การตัด Http ออกจาก URL หรือการเพิ่ม WWW ลงไปใน URL
เข้าไปในเว็บไซต์
อีกทั้งมีการส่งข่าวไปยังกลุ่มลูกค้าของเว็บไซต์เพื่อบอกถึงรายละเอียด
และวิธีในการเข้าถึงเว็บไซต์เหล่านี้โดยเจ้าของเว็บไซต์
ในขณะที่ผู้ที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์ รวมทั้ง เว็บมาสเตอร์
ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการบริหารจัดการเว็บไซต์ยังคงเข้าถึงตัวได้ยาก
และถึงแม้เข้าถึงตัวบุคคลเหล่านี้ได้แล้ว
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาผิดกับบุคคลเหล่านี้ได้
เพราะกฎหมายเรื่องพยานหลักฐานยังไม่เอื้ออำนวยพอ
กฎหมายเก่าที่มีอยู่ ก็เก่าจริงๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2471
บทลงโทษก็เล็กน้อยไม่ได้ทำให้บุคคลเหล่านี้เกิดความเข็ดหลาบ
มีโอกาสที่จะกลับมาทำเว็บไซต์เหล่านี้อีก
ทั้งนี้เหตุผลของการทำเว็บไซต์อาจจะเกิดขึ้นเพราะความสะใจ
หรืออาจจะมีเรื่องธุรกิจเข้ามาเป็นตัวดึงดูด
ในบางเว็บไซต์มีการทำธุรกิจเป็นเรื่องเป็นราว มีกำไรเป็นกอบเป็นกำ
เช่นการขายวีซีดี หรือการเก็บค่าเช่าพื้นที่
หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า Banner
ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก
กฎหมายที่มีอยู่มุ่งจัดการต่อผู้จัดทำเว็บไซต์
ในขณะที่ผู้ประกอบการบางกลุ่มเช่น ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
(ISP)
ถูกมองข้ามไปทั้งที่ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ได้ประโยชน์จากการเข้าถึงเว็บไซต์สื่อลามกอนาจารด้วยเช่นกัน
มาตรการในการจัดการที่เหมาะสม
และสอดคล้องกับสังคมมากที่สุดก็คือ
การยอมรับความเป็นจริงเรื่องของเพศตามยุคสมัยปัจจุบัน
ถึงเวลาที่จะยอมรับกันว่า
สื่อทางเพศในเชิงสร้างสรรค์ที่สังคมยอมรับให้มีการเผยแพร่ได้อย่างเสรี
เป็นอย่างไรหรือยัง
สื่อทางเพศที่เป็นสื่อลามกอนาจารที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์สามารถเผยแพร่ได้อย่างมีเงื่อนไข
เข้าทำนองว่า ผู้ใหญ่ดูได้ เด็กห้ามดู มีอะไรบ้างหรือไม่
แต่ ณ วันนี้ สื่อทางเพศแบบวิตถาร เช่น 1)
ภาพหรือข้อความที่เป็นการร่วมเพศระหว่างคนกับสัตว์ 2) แบบหมู่
หรือสวิงกิ้ง 3) กับคนในครอบครัว 4) สื่อลามกอนาจารเด็ก และ 5)
สื่อที่ขายวัตถุลามกอนาจารบางชนิด
เป็นกลุ่มที่สังคมไม่อาจยอมรับให้มีการปรากฏตัวได้เลย
ต้องมีมาตรการจัดการอย่างจริงจัง และเด็ดขาด
เมื่อเนื้อหาบนอินเตอร์เน็ตมีจำนวนมากมาย
หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่สามารถเข้าไปดูแลได้ทั้งหมด
หน่วยสอดส่องดูแลความเรียบร้อยบนอินเตอร์เน็ตหรือ
ตำรวจอินเตอร์เน็ตที่เป็นภาคประชาชนสมควรที่จะเกิดขึ้น
เพื่อเข้ามาทำหน้าที่ติดตาม และดูแล
วันนี้หน่วยงานดังกล่าวมีการจัดตั้งหรือยัง?
เมื่อพบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือยังลังเลว่า เหมาะสมหรือไม่
คณะกรรมการที่ทำหน้าที่ในการกลั่นกรองเนื้อหามีกฎเกณฑ์ในการตัดสินที่แน่นอนหรือยัง
องค์กรเช่นเดียวกับ ESRB หรือ ICRA
มีในประเทศไทยแล้วหรือยัง
คณะทำงานเฉพาะกิจ CIT
(Cyber Inspector Team) ทำงานได้แล้วจริงหรือ
ทำงานได้สอดคล้องกับสภาพสังคมจริงหรือ
???
การสร้างหลักการเรื่องความรับผิดชอบของผู้ประกอบธุรกิจให้ช่วยกันดูแลสังคมการคืนกำไรสู่สังคมในรูปของความรับผิดชอบ
โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการไอเอสพีประเทศไทยมีคำตอบแล้วหรือยัง
ภูมิต้านทานกับปัญหาเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อการจัดการต่อปัญหาที่ต้นเหตุ
ณ วันนี้ วัคซีน สำหรับสังคม
ที่จะช่วยให้สังคมเข้าใจและมีความรู้เกี่ยวกับสื่อทางเพศถูกสร้างขึ้นหรือยัง
มีการฉีดวัคซีนดังกล่าวให้กับสังคมแล้วหรือยัง?
เว็บไซต์สื่อทางเพศในเชิงสร้างสรรค์เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ใช้
ซึ่งในปัจจุบันมีจำนวนน้อยมาก มีการส่งเสริมให้มีจำนวนมากขึ้น
และปรับปรุงเนื้อหาให้น่าสนใจหรือยัง
การให้ความรู้ในการป้องกันตนเองและเด็กแก่ผู้ปกครอง
และหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับเด็กวันนี้เพียงพอหรือยัง
การรอคอยแต่เพียงกฎหมายเพื่อเป็นคำตอบในเรื่องนี้
เป็นเพียงการแค่การรอคอย กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือของสังคม
การจัดทำแนวนโยบายบางอย่างสามารถกระทำได้เลยไม่ต้องรอคอยกฎหมาย
อย่ารอคอยให้รัฐสภายกร่างกฎหมายลายลักษณ์อักษรใหม่มาแก้ปัญหานี้กฎหมายเก่าที่มีก็พอใช้ได้
ไม่ว่าจะมีกฎหมายพิเศษสำหรับเรื่องนี้หรือไม่
กฎหมายก็เป็นเพียงเครื่องมือในการแก้ปัญหาสังคม ปัญหาที่ตรงประเด็น
ก็คือ ถ้าไม่มี "ผู้ใช้กฎหมายอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ"
ปัญหาก็จะไม่ได้รับการแก้ไข ค้างคา เรื้อรัง ลุกลาม
และเลวร้ายลงไปทุกวัน
หากวันนี้แนวทางในการจัดการปัญหายังคงเป็นเพียงแค่ "คำถาม" หรือ
"ความตั้งใจ" ที่อยู่เพียงใน "ใจ" ของหลายๆ ฝ่าย
ไม่ถูกจัดทำให้เป็นรูปธรรม
ปัญหาเรื่องของเว็บไซต์ลามกอนาจารก็จะเป็นปัญหาอีกปัญหาของประเทศไทย
"ที่มีทางออกสำ หรับปัญหา"
แต่ไม่มีการจัดการอย่างจริงจังจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อนำสังคมไทยไปสู่ทางออกของปัญหา
แม้จะมีความพยายามของหลายหน่วยงานเพื่อออกมาปกป้อง คุ้มครอง
และแก้ไขปัญหาสังคม มาตรการเหล่านั้นกลับถูกจัดทำเพื่อการโฆษณาผลงาน
(ที่มักแก้ไขปัญหาไม่ได้) หรือ ถูกจัดทำเพราะห่วงใยสังคมจริงๆ
และหวังให้แก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หยุดเสียทีที่จะแสดงเพียงแค่ความพยายามที่จะปกป้อง คุ้มครอง
และแก้ไขปัญหาสังคมด้วย "มาตรการที่ดูดีแต่ไม่ทำอย่างจริงจัง"
เพียงเพื่อการโฆษณาผลงานหรือด้วย
"มาตรการที่สวยงามแต่เห็นตั้งแต่ต้นว่า ทำไม่ได้"
ปัญหามันใหญ่และยากคงต้องยอมรับความเป็นจริงที่ฝ่ายรัฐฝ่ายเดียวจะผูกขาดความสามารถในการแก้ไขปัญหาไม่ได้หรอก
วันนี้
ถึงเวลาแล้วที่ ฝ่ายที่แม้มิใช่รัฐ กล่าวคือ เอกชน
ต้องเข้าร่วมมือกับฝ่ายรัฐ
ที่จะต้องเข้ามาร่วมกันคิดและจัดการปัญหาอย่างเป็น "องค์รวม"
การรอคอยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็น "เจ้าภาพ" คงจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ยิ่งช้าไป ปัญหาก็ยิ่งเติบโต และฝังรากลึกในสังคมไทย
ในที่สุดก็จะไม่แตกต่างจากปัญหาเรื่องการคอร์รัปชั่นในประเทศไทย
และในที่สุดจะกลายเป็น "แผลเป็น" อีกแผลสำหรับสังคมไทย
----------------------------------------------------------------
โดย อิทธิพล ปรีติประสงค์/พันธุ์ทิพย์ สายสุนทร/สมพงษ์
จิตระดับ
โครงการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมไทยบนอินเตอร์เน็ต
กอง ทุน ศาสตราจารย์ คนึง ฦๅไชย
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
[1] หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2546 หน้า 14
ไม่มีความเห็น