นาทีทองของชีวิต
ความเรียงเชิงทัศนะ...วันแม่ ปี 2552
ปีที่ 5 แล้วสำหรับการบอกเล่าความดีงามของคำว่า "แม่" ด้วยการเรียงร้อยเรื่องราวแห่งความผูกพันจากชีวิตจริงของผมผ่านตัวหนังสือ ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นผมอยากสะท้อนแง่มุมที่ผมคาดว่าน่าจะมีประโยชน์และเกิดกุศลจิตกับทุกท่านที่ได้อ่านและรู้สึกร่วม เพื่อนำไปปฏิบัติ บอกเล่าต่อ เพราะผมเชื่อในเรื่องความกตัญญุตา
ผมได้รับโอกาสนี้โดยไม่รู้ตัวในวันที่ผมต้องเข้ารับการตรวจคัดเลือกเพื่อเป็นทหารในวัย 21 ปี โดยในครั้งนั้นผมตั้งใจแน่วแน่ว่าจะสมัครเป็นทหารไปเสียเลย เพราะเนื่องจากอยากรับราชการซึ่งเป็นอาชีพที่มั่นคงสามารถดูแลตัวเองและแม่ได้ จึงได้ปรึกษาแม่และได้บอกความต้องการของตนให้แม่เข้าใจ
"แม่ครับ หนูว่าจะสมัครเป็นทหาร นะแม่นะ มันมั่นคงกว่าทำโรงงานนะแม่"
แม่ไม่ตอบอะไรมาก พูดออกมาประโยคสั้นๆ ว่า "ตามใจเอ็ง"
แม่ผมก็แบบนี้แหละครับ เพราะแกก็รู้ว่า ถึงแม้แกจะบอกจะพูดอย่างไร หากผมคิดจะทำก็คงจะห้ามอะไรไม่ได้
แล้ววันที่ผมต้องไปเข้ารับการตรวจเลือกเป็นทหาร ณ ที่ว่าการอำเภอกระทุ่มแบนก็มาถึง ซึ่งในวันนั้นเป็นวันที่ผมต้องไปสอบรายวิชาสุดท้ายของการสอบจบในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ณ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน จ.สมุทรสาคร ผมเดินทางไปรายงานตัวเพื่อเข้ารับการตรวจเลือกทหารแล้ว ผมก็รีบเดินทางไปสอบยังสนามสอบทันทีซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 20 กม. ผมจึงไม่สามารถสมัครเป็นทหารดังที่ตั้งใจไว้ได้
ผมไม่ได้รับรู้อะไรมากมายนัก เพราะต้องทำหน้าที่ในวันนั้น 2 หน้าที่ที่สำคัญ
โดยไม่รู้เลยว่า แม่ของผมก็กำลังทำหน้าที่ของแม่ที่รักและห่วงลูกเช่นกัน
เมื่อผมสอบเสร็จ ก็เดินทางมายังที่ว่าการอำเภอ และอยู่ที่นั่นทั้งวันโดยลำพังท่ามกลางคนนับหมื่นที่มาในฐานะเดียวกับผม และในฐานะผู้ให้กำลังใจ ... แต่ผมไม่มี
เมื่อเข้าไปในศาลากลาง เพื่อเข้าคิวจับสลากหรือที่เขาเรียกว่าจับใบดำใบแดง สายตาที่มองดูรอบข้างหอประชุมพบเห็นญาติใครต่อใครมากมายจนรู้สึกว่าตนเองว้าเหว่เดียวดาย
แต่ผมก็ต้องดีใจ เมื่อได้เห็นบุคคลที่ผมคุ้นเคยยืนให้เห็น
แม่และพี่สาว ยืนให้กำลังใจอยู่ข้างศาลากลางนั้น โดยพี่สาวพยายามโบกมือเพื่อให้ผมรู้ว่า เขาและแม่ อยู่ตรงนั้น ในความรู้สึกตอนนั้น ผมเข้าใจได้ดีถึงคำว่า กำลังใจ
เมื่อถึงเวลาที่ผมต้องจับสลาก ในขณะที่ผมยืนรอจับสลากบนด้านหน้าเวทีท่ามกลางเสียงอื้ออึงดังลั่นไม่ขาด ..... ใบแดง ใบแดง ใบแดง .....พร้อมปรบมือเชียรลั่นหอประชุม
แต่แม่ผมกลับมีกิริยาไม่เหมือนคนอื่น
แม่ยกสองมือขึ้นพนมเหนืออกและหลับตา ราวกับว่าแม่กำลังขอพรจากที่ใดสักแห่ง
ในตอนนั้น ผมเข้าใจได้ถึงคำตอบของแม่ที่ตอบผมว่า "ตามใจเอ็ง" นั้นมันตรงกันข้ามกับใจของแม่ โดยสิ้นเชิง
"หนูไม่อยากไปทหารแล้วแม่" ใจผมคิดเช่นนั้นพร้อมกับเอื้อมมือลงไปจับสลาก
แรงอธิษฐานของแม่สัมฤทธิ์ผล เพราะจิตผมรับรู้ถึงความรักและห่วงใยของแม่ในครั้งนั้น ผมจึงจับได้ใบดำ ผมและแม่ดีใจมาก และเดินจูงมือกันกลับบ้าน ซึ่งอยู่ห่างไป 1 กิโลเมตรด้วยความสุข
ผมได้รับนาทีทองของชีวิตตั้งแต่นั้นมา
รุ่งเช้า ... ผมจึงได้รู้ว่า....
ในขณะที่วันทั้งวันทั้งวัน ผมได้ทำหน้าที่ในฐานะชายไทยและเรื่องการสอบ แม่ของผมก็ทำหน้าที่ในฐานะแม่ที่รักลูก และไม่อยากให้ลูกจากไปทั้งวันเช่นกัน
เพื่อนบ้าน พยามเล่าให้ผมฟัง ด้วยความซึ้งใจในการกระทำของแม่ ซึ่งวิธีการที่แม่ใช้ก็คงเป็นวิธีสุดท้ายที่สามารถทำได้ แม่เพียรพยายามเดินไปที่วัดทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น เพื่อไปขอพรและบนบานหลางพ่อดำแห่งวัดนางสาวเพื่อให้ผมไม่ต้องไปทหาร
ทุกครั้งที่แม่เดินไปและกลับมาจากวัด เพื่อนบ้านจะถามว่าหลวงพ่อดำท่านรับไหม
แม่จะตอบด้วยสีหน้าเศร้าๆ ว่า "ท่านไม่รับ" ทุกครั้ง
เพื่อนบ้านบอกว่า "แม่เอ็งห่วงเอ็งมากนะ ไม่อยากให้ไปทหาร แม่เอ็งบอกว่ามันไปทหารก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไงและเราจะอยู่ยังไง"
แม่เเลยไปบนหลวงพ่อและเสี่ยงทายด้วยการโยนไม้ปวย เดินไปเดินมาหลายรอบ จนเย็น แม่ถึงเดินกลับมาด้วยความดีใจและบอกว่า ...หลวงพ่อดำท่านรับแล้ว
ผมได้ยินเช่นนั้น น้ำตาแห่งความตื้นตันก็เอ่อล้นตาโดยไม่รู้ตัว
ไม้ปวย ที่ใช้สำหรับเสี่ยงทาย
เราเคยหยุดถามตัวเองกันบ้างไหมว่าชีวิตเราทุกวันนี้ เรากำลังตามหาอะไร ต้องการอะไร ทำเพื่อใคร และทำไม
ผมได้รับนาทีทองของชีวิต
นาทีทองของผม คือการได้รับโอกาส โอกาสที่ได้ดูแลแม่ของผม โดยที่ผมไม่เคยรู้ล่วงหน้ามาก่อนเลยว่าผมจะได้รับโอกาส จากวันนั้นวันที่ไม่ต้องไปทหาร และได้ดูแลแม่อีกไม่ถึง 20 ปี ถึงจะอดมื้อกินมื้อไม่มั่นคงอะไร แต่เราก็มีความสุข
26 ธันวาคม 2547 09.00 น. แม่เกิดอาการหมดสติด้วยโรคหลอดเลือดสมองครั้งที่ 3 และจากผมไป เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2548 เวลา 19.25 น.
ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่แม่เข้าโรงพยาบาล ผมมีโอกาสรับแม่กลับบ้านด้วยความสุขเพราะแม่หายดี
แต่ครั้งนี้ ผมพาร่างไร้วิญญาณของแม่กลับบ้าน พร้อมกับร้องเรียกแม่ทั้งน้ำตา "แม่กลับบ้านเรานะแม่"ตลอดทาง
หนึ่งชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมเรียกเธอว่า "แม่" ผู้หญิงคนหนึ่งที่อุ้มท้องเลี้ยงดูอุ้มชู และให้ความรักความอบอุ่น ให้การศึกษามากว่า 30 ปีจนผมยืนหยัดอยู่ได้ทุกวันนี้ เธอจากผมไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
นาทีทองของชีวิตผมหมดลงไปแล้ว
แต่...นาทีทองของชีวิตใครหลายๆ คน ยังคงได้รับและคงอยู่
12 สิงหาคม วันแม่นี้ หากจะเป็นวันที่ใครหลายคนจะเริ่มต้นเพื่อใช้นาทีทองของชีวิตให้คุ้มค่า ยังคงดีกว่าไม่คิดจะใช้มันเลย
เหลืออีกกี่วัน..อีกกี่คืน ที่จะมีเธอ
เหลืออีกกี่ลมหายใจ ที่จะได้เจอ...กับความสดใส
เวลามีน้อย...เหลือเกิน ที่ให้ฉันได้เตรียมหัวใจ
ว่าภาพที่เคยเห็น..ไม่นาน จะเป็นแค่ความหลังไป...
.....ต่อจากนี้...นาทีนี้ จะนับทุกลมหายใจ
เก็บเอาวัน...เวลา แต่ละหยดหยาดไว้...ข้างใน
จากวันนี้...คนๆนี้ จะรักเธอสุดหัวใจ
และจะย้ำซ้ำๆ จากวันนี้..จนถึงวันไกล...ว่ารักเธอ....
.....เสียไปมากมาย..กับเวลา ที่มันเลยผ่าน
เสียดายที่วันเมื่อวาน ที่ทำให้เธอ...มันยังน้อยไป
เวลาที่เหลือ...ทุกนาที จากวันนี้จนวันสุดท้าย
ฉันจะเฝ้าทำ...ทุกทาง ทุ่มเทให้สุดหัวใจ.......
เข้ามาอ่านเรื่องราวพระคุณแม่ของคุณ "นาทีทองของชีวิต" ด้วยความซาบซึ้งคะ
จะปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณนะคะ
ขอบคุณมากคะ
ได้มาอ่านเรื่องของคุณแล้วทำให้มีกำลังใจในการดูแลคุณพ่อและคุณแม่ จะส่งข่าวให้ทราบต่อไป เสียใจด้วยในการเสียคุณแม่ คิดว่าท่านคงมองดุความสำเร็จของเราอยู่ ท่านสบายแล้ว เราต่างหากที่ยังมีความทุกข์ต้องต่อสู้ต่อไป
ขอบคุณสำหรับกำลังใจ
พอได้อ่านแล้วรู้สึกซาบซึ่งมากค่ะ..
นึกถึงแม่ที่มีพระคุณอันสูงส่ง..
ต่อไปนี้จะทำอะไรก็จะนึกถึงแม่ของเราไว้ก่อน..
ขอบคุณที่ให้ความรู้เรื่องของแม่ค่ะ..