คนรู้เรื่องโรคหัวใจหรือโรคมะเร็งมากกว่ากัน?


คนรู้เรื่องปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจหรือโรคมะเร็งต่างกัน

เพื่อต้องการที่่จะทราบว่าคนทั่วไปรู้เรื่องหรือตระหนัก (awareness) ไหมว่าการดำเนินชีวิตประจำวันที่เราทำๆ กันอยู่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจหรือโรคมะร็งมากกว่ากัน งานนี้ทำตั้งแต่ปี 2002 ตีพิมพ์ในปี 2009

เพื่อหาคำตอบดังกล่าว ได้มีการศึกษาในคนอังกฤษประมาณ 1700 คน โดยการสัมภาษณ์ด้วยคำถามปลายเปิดว่า "คุณคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ให้คนเป็นโรคหัวใจหรือโรคมะเร็ง หรืออะไรเป็นตัวเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจ?"

พอโยนคำถามไป คนถามก็ชวนคุยไปเรื่อยๆ อันไหนที่คนตอบตอบในรายการที่เขียนไว้ ก็บันทึกไว้ แล้วจึงไปแยกอีกทีว่าคำตอบที่ได้อยู่ในข้อใดในปัจจัยเสี่ยงสี่ด้านที่ผู้ศึกษาสนใจ

ความรู้สี่ด้านได้แก่

1. การสูบบุหรี่

2. การกินอาหารไม่ดีต่อสุขภาพ

3. การดื่มแอลกอฮอล์

4. การไม่ออกกำลังกาย

ผลการศึกษาพบว่าในคน 1700 กว่ารายเมื่อแยกตามปัจจัยเสี่ยงแล้วเปรียบเทียบความตระหนักต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็งพบว่า

คนรู้เรื่องปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ (2.08) มากกว่าโรคมะเร็ง (1.8)

ที่นี้เมื่อมาแยกดูว่าคนรู้เรื่องปัจจัยเสี่ยงทั้งสี่ด้านต่อการเกิดโรคทั้งสองเป็นเท่าใด

สรุปเป็นตารางดังนี้

 

ปัจจัยทั้งสี่

%ตระหนักต่อโรคหัวใจ (ใน 1747 ราย)

%ตระหนักต่อโรคมะเร็ง (ใน 1747 ราย)

การสูบบุหรี่

64

85

การกินอาหารไม่ดีต่อสุขภาพ

68

32

การดื่มแอลกอฮอล์

25

14

การไม่ออกกำลังกาย

53

7

พอเห็นผลการศึกษาดังกล่าวเป็นที่น่าตกใจว่า คนทั่วไปทราบว่าการไม่ออกกำลังกายเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเพียงร้อยละ 7 ซึ่งแปลว่าใน 100 คนไม่ทราบว่าการไม่ออกกำลังกายเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง 7 คน ......แป่ว

คนรู้ว่าการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งร้อยละ  85 - อันนี้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ เพราะความที่มีการประชาสัมพันธ์กันมาตลอดว่าการสูบบุหรี่เป็นสาหตุของการเกิดมะเร็งปอด

คนรู้ว่าการกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเป็นอันตรายต่อโรคหัวใจร้อยละ 68

คนรู้ส่วนการดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจร้อยละ 25 และต่อโรคมะเร็งร้อยละ 14

ผลการศึกษาทีไ้ด้แสดงว่าคนรู้เรื่องการออกกำลังน้อยอยู่เหมือนกันดังนั้นน่าจะมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์เรื่องการออกกำลังกายให้มากขึ้น

ส่วนที่บ้านเราเป็นที่น่าชื่นใจว่า สสส ได้สนับสนุนให้มีการออกกำลังกายมากขึ้นโดยใช้กลยุทธ์หลายอย่างๆ ร่วมกันทั้งให้ทุน จัดกิจกรรม โฆษณาผ่านสื่อ เมื่อประเมินด้วยสายตามีความรู้สึกว่าคนออกกำลังกายกันมากขึ้น พูดเรื่องออกกำลังกายมากขึ้น แต่ละคนพยายามหาแนวทางการออกกำลังกายที่ตัวเองถนัด แต่เมื่อดำเนินโครงการมาได้สักระยะแล้วน่าจะมีการประเมินเป็นช่วงๆ ว่าคนรู้เรื่องนี้เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน เพื่อหากลยุทธ์เพิ่มยอดคนออกกำลังกายให้มากขึ้นไปอีก!!!!!

 

 

จาก Sanderson SC, Waller J, Jarvis MJ, Humphries SE, Wardle J. Awareness of lifestyle risk factors for cancer and heart disease among adults in the UK. Patient Educ Couns. 2009 Feb;74(2):221-7. Epub 2008 Dec 6.  

 

หมายเลขบันทึก: 281802เขียนเมื่อ 31 กรกฎาคม 2009 14:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 08:20 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท