การศึกษา สิ่งแวดล้อม vs. ความเก่ง ความสามารถ ความดี


พัฒนาศักยภาพ ด้วยพลังหัวใจของตัวเอง

ตั้งแต่ผู้เขียนเรียนจบจากมหาวิทยาลัย ผู้เขียนได้พยายามเสาะหาเส้นทางที่เหมาะสมในการทำงาน งานที่จะทำให้มีโอกาสได้ใช้ความรู้ ความสามารถ ทำให้รู้สึกว่าตนเองเก่งมีคุณค่า โดยที่ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดที่จะทำงานดังกล่าว และถ้าให้ดีสามารถทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ด้วย

จากประสบการณ์ที่ได้สำรวจตัวเองตั้งแต่สมัยยังเรียนระดับปริญญาตรี(สายวิทยาศาสตร์การแพทย์)นั้น ผู้เขียนได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมนักศึกษาในรูปแบบต่างๆ สุดท้ายค้นพบว่า ตนเองเหมาะกว่าที่จะทำงานในด้านที่ต้องติดต่อพบปะกับผู้คน จึงตัดสินใจเรียนต่อทางด้านบริหารธุรกิจทันที (ซึ่งในสมัยที่ผู้เขียนเรียนจบปริญญาตรีมาใหม่ๆ ผู้เขียนมักได้รับการชักชวนให้ทำงานที่ได้ติดต่อพบปะกับผู้คนในเชิงธุรกิจ ทั้งๆที่เดิมทีก็ไม่ได้เรียนจบทางสายธุรกิจมาโดยตรง ดังนั้นเป็นการยืนยันตัวเองอีกที)

ครั้นเมื่อเรียนจบมาในสาขาธุรกิจก็ได้มีโอกาสทำงานกับบริษัทข้ามชาติระดับโลกแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ซึ่งในตอนแรกก็ภาคภูมิใจอย่างมากที่ได้มีโอกาสเข้าทำงานในองค์กรดังกล่าว ได้มีโอกาสเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายจากการทำงานในองค์กรและได้พบปะผู้คน เพื่อนร่วมงานในหลายระดับ และเนื่องจากผู้เขียนในวัยเด็กเติบโตและเรียนหนังสือในต่างจังหวัด จึงมักจะมีความคิดว่าผู้คนที่ได้เรียนหนังสือในกรุงเทพ หรือที่เรียกว่า เด็กเทพคงจะมีโอกาสได้รับความรู้และเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้มากกว่า ดังนั้นน่าจะมีความสามารถมากกว่าตนเอง หากแต่ว่าการได้ร่วมงานกับองค์กรในระยะเวลาหนึ่งทำให้ค้นพบว่า พื้นฐานการศึกษาและสิ่งแวดล้อมมิได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าใครจะมีความสามารถมากกว่าใคร  ในการทำงานจริงผู้เขียนค้นพบว่าเหล่า เด็กเทพก็ไม่ได้ทำงานหรือมีสติปัญญาที่เลิศเลอไปกว่าผู้เขียนเท่าไหร่นัก และบางครั้งผู้เขียนก็รู้สึกว่าตนเองมีวิธีคิดและแก้ปัญหาที่ดีกว่าพวกเขาเหล่านั้นเสียด้วย ถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะจบจากโรงเรียนที่รวบรวมเด็กหัวกะทิของประเทศ หรือมาจากตระกูลที่โด่งดังและร่ำรวยเป็นพิเศษ  หากแต่สิ่งที่ผู้เขียนเองสามารถรู้สึกถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจนกลับเป็น การแบ่งแยกชนชั้น ความสามารถในการพลิกแพลงหลบหลีกเพื่อหาทุกวิถีทางที่จะทำให้เขาเหล่านั้นอยู่รอดเพื่อหาประโยชน์เข้าสู่ตัวเองของชาว เด็กเทพส่วนใหญ่ (ไม่ทุกคน) รวมถึงระดับของความจริงใจที่พวกเขาใช้ในการสร้างมิตรภาพกับผู้อื่น

เหตุนี้จึงทำให้สมมติฐานที่ผู้เขียนเคยมีต่อพื้นฐานการศึกษาและสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อผู้คนจึงได้ปรับเปลี่ยนไป  ผู้เขียนต้องยอมรับว่าได้สูญเสียมิตรภาพกับเพื่อนร่วมงานเหล่านั้นไปค่อนข้างหลายคน จากสาเหตุต่างๆซึ่งล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพิสูจน์ถึงความจริงใจทั้งสิ้น  อย่างไรก็ตามผู้เขียนก็ยังได้เพื่อนที่แท้จริงมาหลายคนเช่นกันซึ่งยังคบหากันจนถึงในปัจจุบันนี้

ผู้เขียนจึงอยากจะให้กำลังใจแก่ผู้คนที่รู้สึกว่าตนเองมิได้มีพื้นฐานอะไรที่โดดเด่น และต้องการพิสูจน์ตนเอง ต้องการสร้างความแตกต่างบนโลกนี้ บนความเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ต้องกังวลกับพื้นฐานที่ตนเองมี การศึกษาและชาติตระกูลมิได้ช่วยให้คนคนนั้นเป็นคนที่เหนือกว่าผู้อื่นหากเขามิได้ใช้ประโยชน์จากมัน การศึกษาสำหรับหลายคนถูกใช้เป็นเพียงเครื่องประดับชนิดหนึ่งที่ต้องการทำให้ตนเองดูเหนื่อกว่าผู้อื่น โดยที่คนเหล่านั้นอาจไม่มีความรู้ที่แท้จริงแม้แต่น้อย อยากบอกว่าทุกคนบนโลกนี้มีศักยภาพที่แตกต่างกัน ทุกคนเท่าเทียมกันในการเป็นมนุษย์ มีโอกาสและสิทธิในการคิดที่เท่าเทียม แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือพลังหัวใจของแต่ละคน ที่จะสามารถใช้โอกาสที่ได้รับอย่างไร คุณสามารถใช้โอกาสเหมือนกับที่คนอื่นๆได้รับได้มากกว่าหรือน้อยกว่าแค่ไหน ที่จะทำให้สังคมเปลี่ยนไปในทิศทางใด ล้วนอยู่ที่ตัวของคุณเอง

 

 

หมายเลขบันทึก: 278984เขียนเมื่อ 22 กรกฎาคม 2009 10:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 08:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

พลังหัวใจ เราพัฒนาได้อย่างไรครับ

ถ้าถามจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่น ขอตอบสั้นๆว่า

ค้นหาจุดเด่นของตัวเองให้พบ แล้วมองโลกให้เป็นบวก เปิดใจให้เป็นอิสระ พร้อมเรียนรู้ทุกอย่าง หาความรู้ใส่ตัว แล้วบอกตัวเองว่าทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนเป็นไปได้ และคุณสามารถทำได้ทุกอย่างที่คุณอยากทำ

ไม่ใช่ให้ท่องนะคะ หมายถึงทุกอย่างมันอยู่ที่วิธีทีคุณคิด และเมือลงมือทำก็ทำเต็มที่ ทำด้วยหัวใจ ถ้ายังไม่เข้าใจแนะนำให้ไปหาเพลงของ ใหม่เจริญปุระ เพลง "ทำด้วยหัวใจ"ลองฟังดูนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท