หักที่ขา...ปวดที่ใจ
แม่ขุนเขา
ฟ้าข้างนอกยังส่งเสียงครืนคราง ฝนทิ้งเม็ดหนาขึ้นตั้งแต่ต้นฤดูกาล ในคืนหลังฝนตกหนัก เสียงน้ำป่าไหลหลากจากภูสูง สายน้ำไร้แรงสกัดจากเทือกทิวไม้ เนื่องจากโดนตัดป่าเผาทำลายเพื่อขยายที่ทำกินของชาวบ้าน เสียงสายน้ำหลากดังสนั่น พัดกวาดทุกสิ่งทุกอย่างให้ราบในพริบตา สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับผู้คนริมสองฝั่งทางน้ำ ภาพความเสียหายยังคงปรากฏให้เห็น แม้คืนฝันร้ายจะผ่านไปแล้วหลายวัน
รุ่งเช้าอีกวัน ความเสียหายปรากฏชัดเจนตลอดสองข้างทาง รอยของสายน้ำที่กัดเซาะแนวดินจากภูสูง ผ่านร่องน้ำที่ตื้นแคบ ยังผลให้น้ำหลากไหลผ่านท่วมถนนสายหลักก่อนทะลุทะลวงลงสู่เหวลึกริมทาง
ไม่กี่วันหลังจากวันนั้น รถของเรายังคงต้องผ่านเส้นทางน้ำหลากนั้นสู่หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อกสั่นขวัญแขวนในคืนวันนั้น
เส้นทางลาดยางที่แม้ถูกปรับปรุงใหม่ทุกปี แต่ขอบทางส่วนใหญ่มีร่องรอยการกัดเซาะของน้ำที่ชัดเจน แม้จะเห็นการซ่อมแซมบ่อยๆ จากเจ้าหน้าที่ทางหลวง มันคงถูกพบเห็นเช่นนี้ไปอีกนานและถี่ขึ้น ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่หยุดทำลายธรรมชาติ จนไม่นึกว่าธรรมชาติจะกลับย้อนมาทำลายมนุษย์อย่างรุนแรงเท่าเทียมกัน
สุดปลายถนนลาดยางของหมู่บ้านริมทางนั้นมีทางแยกดินแดง ที่ตลอดทางเป็นหลุมบ่อ และพร้อมจะให้ล้อรถเข้าไปหยุดติดในหล่มโคลนเมื่อยามหน้าฝนมาเยือน ทางแยกนี้เป็นทางแยกเข้าโรงเรียนประถมศึกษาของหมู่บ้าน ที่ที่ชาวบ้านชี้ว่าบ้าน “ป้าบุญมี” อยู่ตามทางนั้นแหละ
รถผ่านหลุมบ่อเข้ามาไม่ไกลเกิน 50 เมตร ริมทางเป็นโรงจอดรถยนต์ของคณะครูที่เรียงรายมากกว่า 5 คัน เวลาช่วงนั้นราวบ่ายโมง ฟ้าครึ้มเหมือนฝนทำท่าจะตก เราสอดส่องหาบ้านป้าบุญมี ตามคำบอกและกะว่าคงได้สนทนากันครู่เดียว เพราะเราทั้งหลายก็มีภารกิจที่โรงพยาบาลตอนบ่ายสอง ด้วยคำบอกเล่าของอสม.ของหมู่บ้านที่ไปแจ้งว่า ป้าบุญมีขาหัก เดินไม่ได้ หมอช่วยไปดูหน่อย ในใจเราคิดว่า “จิ๊บจ๊อยมาก”ชินแล้วกับการที่ต้องเจอผู้ป่วยประเภทนี้
แต่พอลงจากรถและเดินผ่านโรงรถของโรงเรียนเข้าไปโดยไม่มีรั้วโรงเรียนขวางกั้นแต่อย่างใด เราพบบ้านไม้หลังหนึ่งตั้งโย้เย้อยู่ในพงหญ้า ข้างทางตัดหญ้าไว้พอเดินผ่านได้ พื้นบ้านยกสูงข้างล่างคงไม่มีใครได้พักอาศัยอยู่ บ้านเงียบ..!! เราร้องเรียกป้าบุญมี ยังไม่มีเสียงตอบในครั้งแรก สายตาเราเหลือบไปเห็นยายแก่ๆคนหนึ่งกำลังก้มๆเงยอยู่ริมพงหญ้า แกยกมือไหว้เรา แต่ไม่ตอบอะไร เราไหว้ตอบแกพลางถามหาป้าบุญมีใช่ไหม แกส่ายหน้าชี้ไม่ชี้มือขึ้นไปบนบ้านหลังนั้นโดยไม่พูดอะไร พอเราละสายตาขึ้นมาบนบ้านหันกลับอีกทีแกก็หายไปแล้ว เราเดินขึ้นบ้านป้าบุญมีตามมือชี้ระบุ บันไดบ้าน5-6ขั้น ที่ทั้งชันและแคบกว่าฝ่าเท้าของเราอีก คนไม่ชินคงตกลงมาง่ายๆ ความคิดแรกแวบเข้ามากับคำถามที่ว่า....แล้วคนที่ขาหักจะขึ้นลงบันไดนี้อย่างไร?
บนบ้านที่เราก้าวขึ้นมา ป้าบุญมี นอนรอเราอยู่บนฟูกแคบๆ ตรงชานบ้านนั่นเอง พอเห็นเรา ป้าก็รีบยันตัวลุกขึ้นนั่งขาทั้งสองยังเหยียดตรงไปข้างหน้า ทำให้เราได้เห็นขาทั้งสองข้างถนัดถนี่ ขาขวาที่ลีบเล็กลงอย่างชัดเจน ร่องรอยการใส่เฝือกมาเป็นเวลานานยังปรากฏ พร้อมปลายเท้าที่ยังกระดกไม่ขึ้น รอยที่หักยังส่อให้เห็นว่ากระดูกมันยังไม่ติดสวยนัก มองเลยๆไปตรงระเบียงบ้านเหนือที่นอนใกล้แก มีไม้เท้าค้ำยันอย่างดีวางตั้งสงบนิ่งอยู่ข้างๆ เก้าอี้เก่าๆ ความใหม่ของมันบ่งบอกว่าป้าบุญมีคงไม่เคยใช้มันเลย
หลังจากที่เราทักทายป้าบุญมี บอกกล่าววัตถุประสงค์การมา ป้าเริ่มพูดคุยกับเรา
“ป้าขับมอเตอร์ไซค์ จอดอยู่ริมทาง เห็นรถกระบะคันนั้นมาตั้งแต่ไกลแล้วล่ะ แต่ยังไม่ทันขยับรถของตัวเอง ก็มีเสียงดังลั่นไปหมด แล้วป้าก็ไม่รู้อะไรอีก”
ป้าบุญมีถูกรถกระบะคันนั้นขับชน จนป้าสลบไป ป้าถูกส่งตัวตามขั้นตอนจนไปถึงรพ.ใหญ่ในเมือง รู้ตัวทีหลังว่าตัวเองขาหัก ถูกแขวนถ่วงขาไว้หลายวันเป็นเวลาที่ป้าบอกว่าทรมานมาก “เห็นขาตัวเองบวมจนกางเกงหลวมๆยังปริ นึกว่าต้องตัดขาเพราะตัวเองก็เป็นเบาหวานด้วย แล้วหมอก็ยังไม่ว่ายังไงสักที ป้านอนอยู่หลายวัน นอนมองขาตัวเองอยู่นั่นแหละ...มือซ้ายนี่ก็หัก” เวลานั้นเองที่ฉันเสมองไปที่ท่อนแขนซ้ายของแก ท่อนแขนที่บิดโก่งเล็กน้อย เลยลองให้ป้าลองขยับให้ดู มันติดขัด แถมเรี่ยวแรงก็ดูน้อยลง สรุปว่านอกจากขาขวาหัก แขนซ้ายก็หักอีก
“ป้าบุญมี นี่กี่เดือนแล้วนี่” เราถามแกออกไป
“สี่เดือนแล้วจ้ะ...หมอที่ผ่ายังไม่ให้ป้าเคลื่อนไปไหน ยังไม่ให้เหยียบพื้น ป้าเจ็บอยู่เลย หมอบอกว่ามันยังไม่ติด..หมอสอนวิธีขยับให้อยู่นะ อยู่บนเตียงทุกวันป้าก็พยายามทำอย่างนี้...” ว่าแล้วป้าบุญมีก็ทำท่าบริหารที่หมอสอนมาให้ดู ก็ดูดีถูกต้อง
“แล้วทั้งวันป้าทำอะไรบ้าง..ถ้าป้าปวดท้องเข้าห้องน้ำ ต้องไปหาข้าวกิน ป้าไปยังไงล่ะคะ” ฉันถามแกแล้วก็เสมองไปที่ไม้ค้ำยันที่ใหม่เอี่ยมคู่นั้น
“ป้าก็ถัดก้นเอา...ป้าไม่กล้าใช้ไม้หรอก กลัวล้ม ป้าไม่รู้ด้วยจะใช้ยังไง หมอเขายื่นไม้นี่ให้ตอนกลับออกจากโรงพยาบาลนั่นแหละ มือนี่ก็หัก ขาข้างนี้นี่ก็หักมันกลัวไปหมด” ฉันรู้ก็คราวนี้ ถึงคำว่า “ยื่นแว่นตาให้คนตาบอด” เอาล่ะ ตอนนี้ถึงเวลาตาป้าจะสว่าง แค่เพียงแนะวิธีปรับการใช้ง่ายๆจากไม้ค้ำยัง 2 ข้างเป็นใช้ข้างเดียว โดยใช้แขนกับขาข้างที่ไม่มีปัญหาเป็นตัวช่วย เท่านี้ป้าก็ได้ฤกษ์เริ่มออกเดิน หลังจากนอนมองไม้เท้ามา 4 เดือนเต็มๆ
ดูเหมือนป้าจะพึงพอใจกับสิ่งที่ค้นพบใหม่..สักพักป้ากลับมานั่งพักที่เก้าอี้มุมระเบียงตัวเดียวที่เราเห็นตอนเข้ามาทีแรก ปัญหาที่ถูกนำส่งมาตั้งแต่แรกที่ได้รับข้อมูลมากับตอนนี้ น่าจะช่วยแก้ไขอะไรให้ป้าได้ ตามที่เราคิด
แต่หลังจากนั่งได้ไม่นานก่อนเราจะลากลับ ..คำถามเดียวที่ทำให้เราต้องหย่อนก้นนั่งลงต่อก็มาถึง “ป้าบุญมี แล้วตอนนี้ป้าอยู่กับใครบ้าง” เพราะตั้งแต่เรามายังไม่เห็นวี่แววญาติคนไหนของแกมาให้เห็นสักคน
“อยู่กับแม่...ที่เห็นแกในพงหญ้านั่นแหละ แม่แกแก่แล้วพูดไม่ได้ เป็นใบ้..ช่วงที่ป้าเดินไม่ได้นี่แม่แกต้องออกไปหาเห็ดมากินและแบ่งขายบ้าง ป้าก็ได้แต่นอนช่วยแกล้างเห็ดนี่แหละ” พูดพลางปรายตาไปบนกระจาดที่มีเห็ดตามฤดูกองอยู่ กะดูถ้าขายก็ได้สักไม่เกิน 50 บาทในวันนี้ “แล้วสามี..กับลูกป้าล่ะ” ป้าบุญมีเงียบไปอึดใจ
แล้วคำพูดพรั่งพรูก็ออกมาเรื่อย ราวกับว่าป้ารอคอยวันที่มีใครสักคนมานั่งฟังในสิ่งที่แกอัดอั้นมานานแล้ว
“ลูกป้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ เงินก็แทบจะไม่ได้ส่งมา เพราะลำพังตัวเขาเองก็ต้องใช้จ่ายแทบไม่พอแล้วป้าไม่หวังให้เขาเลี้ยงดูหรอก แค่เขาเอาตัวรอดได้ก็พอ ส่วนลุง...... ” ป้าทิ้งช่วงไปอีก
“แกออกไปรับจ้าง ลุงไม่ค่อยพอใจป้าเท่าไหร่ตั้งแต่ป้าขาหักมานี่ ป้าไม่ได้ช่วยทำงานรับจ้างหาเงินเลย เมื่อก่อนพอไปได้บ้าง ตอนนี้มีลุงไปทำงานคนเดียว บางครั้งถ้าอาการแกกำเริบขึ้น ป้าก็โดนซ้อม เมื่อก่อนวันไหนลุงมีอาการ ป้าจะวิ่งหนีไปขอหลบที่ห้องเรียนของโรงเรียน ภารโรงเขาให้กุญแจไว้เปิดเข้าไปหลบ แต่ตอนนี้ป้าจะวิ่งหนีไปเหมือนเดิมก็ไม่ได้ ก็หักอยู่อย่างนี้ .ต้องยอมให้แกซ้อมอยู่ทั้งอย่างนี้”
“ตอนนี้ยาแกหมด ...วันนี้ป้าไม่รู้ว่าจะโดนอะไรอีก”
ความเงียบเกาะกุมเราที่นั่งฟังแกอยู่ ดูเหมือนว่าความกลัว และความเจ็บปวดไม่ได้อยู่แค่ขาและมือที่หักเท่านั้น สิ่งที่ปรากฏกับร่างกายคงไม่เท่ากับสิ่งที่ป้าได้รับมาเก็บไว้ในใจจากถ้อยคำที่หายไปเมื่อครู่
“ลุงแกต้องเข้าไปรับยาระงับอาการทางจิต ถึงคลินิกในเมือง ถ้ามีเงินค่ารถก็พอได้ไปเอายา แต่ถ้าไม่มีก็ต้องทิ้งช่วงกินยาไปแล้วก็เป็นเหมือนทุกครั้งที่เห็นป้าเป็นกระสอบ…ส่วนป้าเป็นเบาหวานก็ยังพอเยียวยาได้อยู่ ป้ายังได้กินยาเบาหวานน้อยอยู่ ลุ้นอยู่อย่างเดียวว่ากระดูกที่หักนี่มันจะติดไหมนี่ หมอเขาขู่ไว้แล้วว่าถ้าไม่อยากตัดขา อย่าให้มันอักเสบ แต่ป้าอยู่แบบนี้มา 4 เดือนแล้วนะ..เมื่อไหร่มันจะหายสักทีล่ะ ? ป้าจะได้เดินได้ อย่างน้อยก็จะได้หลบลุงแกทัน...”
นาฬิกาบอกเวลาล่วงเข้าบ่ายสามโมงกว่าแล้ว เลยเวลาที่เรากะว่าจะกลับไปนาน รถครูในโรงรถโรงเรียน หายไปจนหมดตั้งแต่ก่อนบ่ายสองแล้ว ห้องของอาคารเรียนถูกปิดล๊อคกุญแจทุกห้อง!!!
รถของเราถอยออกมา บ่ายหน้ากลับโรงพยาบาล พร้อมสิ่งสุดท้ายที่เราฝากไว้กับป้าบุญมีว่า จะหาทางดูแลเรื่องยาจิตเวชของลุงให้เร็วที่สุด.. ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม ลุงจะได้ไม่ต้องขาดยาตัวนั้น...แน่นอน!!
สวัสดีค่ะ SHA รพร.ด่านซ้าย
มีเรื่องเล่าดี ๆ มาให้อ่านเรื่อย ๆ นะคะ น่าจะได้เป็นหนึ่งในหนังสือเรื่องเล่าดี ๆ ของแม่ต้อยแน่ ๆ
อย่าลืมมาคุยกันใน web conference ในวันที่ 27 สค.2552 (นัดชงชาช่วงบ่าย ๆนะคะ)ที่แม่ต้อยจัดให้นะคะ มีเรี่องดี ๆเล่าอย่างนี้สงสัยเวลาที่จัดให้แต่ละโรงพยาบาลจะไม่พอนะเนี่ย
web con SHA.รพร.ด่านซ้ายจะได้พบกับ บ่งคล้า ปทุมวงศา โนนคุณ วารินชำราบ และประทายค่ะ แล้วพบกันนะคะ
ชื่นชมชาวด่านซ้ายมากๆค่ะ อ่านเเล้วซาบซึ้งมากๆ