ให้ระวังเรื่องเกี่ยวกับเวทนา ใครจะสอนใครพระพุทธเจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากแนะหนทาง ส่วนที่จะเล่าเรียนศึกษานี้ ต้องทำเอง ฉะนั้นก็เสวยเวทนาเข้าไป เวทนาอะไรมีขึ้นมา ก็เสวยเวทนานั้น แต่แล้วก็มีแตกต่างกันอยู่สองอย่างว่า : ปุถุชน คนพาล คนโง่ คนเขลา นี่มันเสวยเวทนาด้วยความโง่ ส่วนอริยสาวก ก็เสวยเวทนาด้วยความฉลาด มีแค่นี้เอง เพราะระมัดระวังดี ดูดี
มันต่างกันมาเสียทีแรกแล้วว่า ปุถุชน คนพาล คนเขลานั้น ไม่ได้เคยฟังธรรมะของพระอริยเจ้า ฟังแต่ธรรมะของคนคนพาล ปุถุชน มิจฉาทิฏฐิ ส่วนพระอริยสาวกนั้น หมายถึงผู้ที่ได้ฟังธรรมะของพระอริยเจ้า แล้วก็เป็นผู้มีปัญญา ถูกนำไปตามคำสอนของพระอริยเจ้า ตั้งมั่นด้วยดี ไม่เป็นพาล ตรงกันข้ามกับปุถุชน คนพาล ที่เกิดมาด้วยเหตุอะไรก็ตามใจ ไม่ได้ยินได้ฟังเรื่องที่เป็นธรรมะของพระอริยเจ้า ฉะนั้นใจของเขาก็มีอยู่อย่างหนึ่ง พอเวทนาเกิดขึ้นนี้ มันก็ต่างกัน แยกทางกันเดิน
คนพาลก็เสวยเวทนาด้วยความโง่ อริยสาวกก็เสวยเวทนาด้วยความฉลาด ฉะนั้นคนพาลจึงเกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดความยึดมั่น เป็นทิฏฐิอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็มีทุกข์ ส่วนพระอริยเจ้านั้น รู้เท่าทันเวทนา เพราะได้เรียนมาดี ได้อบรมมาดี ได้ปฏิบัติมาดี จึงไม่ยึดมั่นถือมั่นในเวทนานั้น คือมันเกิดความฉลาด มันเกิดความรู้เสียว่าอะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร เวทนานี้คืออะไร ก็ไม่โง่ ไม่หลงที่จะไปยึดมั่นถือมั่นในเวทนานั้น ฉะนั้นจึงไม่เกิดตัณหา ไม่เกิดอุปาทาน ไม่เกิดทิฏฐิเห็นผิดที่จะทำให้เกิดทุกข์ได้
ไม่มีความเห็น