จากฉันถึงเธอ วันที่เมาหมัด อารมณ์ ความฝัน ความมุ่งมั่น ความตั้งใจ


ผมจำวันแรกที่ผมก้าวเข้ามาสู่คณะนี้ และกล่าวถึงความฝันว่าเป็นอย่างไร

 

คุยกันพาเพลิน


ก็คงย้ำแนวคิดเกี่ยวกับคอลัมน์นี้ไว้เหมือนเช่นเคยว่าอยากเขียนเรื่องสบาย ๆ แต่ครั้งนี้เรื่องที่นำมาเล่าอาจไม่สบายเท่าใดนัก แต่ก็อยากนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังบ้าง เพราะไม่รู้ว่าจะไปเล่าให้ใครได้ จะถอนหายใจเพียงอย่างเดียวใครเขาก็ไม่เข้าใจในความรู้สึกลึก ๆ ของเราได้ ก็เลยต้องเขียนออกมา เลยทำให้ดูหนักไปบ้าง 

 


 

 

จากฉันถึงเธอ

วันที่เมาหมัด อารมณ์ ความฝัน ความมุ่งมั่น ความตั้งใจ

ปี 4 มาเยือนในวันที่ 1 มิถุนายน 2552 

คงเป็นปีสุดท้ายสำหรับการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย

ผมจำได้วันแรกที่ผมได้ยื่นผลงานมายังคณะการสื่อสารมวลชนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งผมเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีโดยที่ไม่ต้องสอบ Admission ในปีนั้นเป็นปีแรกที่มีปัญหาอย่างหนักเรื่องการสอบ Admission ผมรู้สึกเหมือนรอยตัวเหนือปัญหาทั้งปวง

ไม่ต้องสอบ Admission อย่างคนอื่นเขาก็เพราะว่า ทางคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงให่ ได้จัดโครงการพิเศษเพื่อคัดนักศึกษาเข้าเรียนต่อ โดยโครงการที่ผมสมัครเข้ามาคือ โครงการสื่อสารมวลชนเพื่อสังคม ผมได้ยื่นผลงานเกี่ยวกับกิจกรรมต่างที่ผมได้ทำมาในช่วงที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ผมจบมา ก่อนที่จะมาเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา

วันที่ถูกสัมภาษณ์ผมจำได้อย่างแม่นยำว่าท่านอาจารย์ที่สัมภาษณ์ผมในวันนั้นหมดคำถามที่จะสัมภาษณ์แล้ว แต่เวลาในการสัมภาษณ์ยังเหลืออยู่ ผมเลยพูดออกมาว่า “ไม่ถามผมหรือครับว่าผมอยากเป็นอะไร” อาจารย์ก็เลยตอบว่า “ว่ามาสิ” 

ผมบอกว่า....สักวันหนึ่งผมจะทำหนังสือพิมพ์ที่ไม่ใช่หนังสือพิมพ์ที่เผยแพร่ข่าวสารเฉพาะเมืองไทย แต่เป็นหนังสือพิมพ์สำหรับภูมิภาคเอเซียแห่งนี้ โดยจะทำเป็นกระทะข่าวสารที่ใหญ่ที่สุด ที่มีการเชื่อมโยงข้อมูลจากทั่วทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งผมต้องการทำหนังสือพิมพ์เป็นอาวุธทางปัญญาให้กับคนไทย นั่นคือสิ่งที่ผมฝันในวันนั้นว่าผมอยากเป็นอะไร

ถัดจากนั้นมาอีก 3 ปี วันที่ผมก้าวขึ้นสู่ปีที่ 4 วันที่ผมได้มีโอกาสเป็น บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ 

เมื่อผมเป็นบรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์อ่างแก้ว อันเป็นหนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัติการของนักศึกษา ผมมุ่งมั่นอย่างมากที่จะทำให้หนังสือพิมพ์ดังกล่าวมอบปัญญาให้กับผู้อ่านซึ่งเป็นนักศึกษาและประชาชนเชียงใหม่ ทุกวันคืนผมจำได้แม่นยำว่าผมพูดกับเพื่อนถึงความฝันความหวังที่อยากทำให้หนังสือพิมพ์นั้นออกมาดีที่สุด และมีเรื่องราวที่มีประโยชน์แก่นักศึกษาและประชาชนชาวเชียงใหม่ 

ผมยังจำได้ว่าทุกค่ำคืนตรงบันไดหน้าห้องอ่างแก้ว ซึ่งเป็นห้องที่เราทำหนังสือพิม์กันจนถึงดึกดื่น บ้างบางคืนก็ถึงเช้า เราคุยกันว่าบทความที่เราเขียน เราจะเขียนเพื่อให้อะไรแก่คนอ่าน เราจะทำหนังสือพิมพ์หน้านี้ให้ออกมาเป็นอย่างไร เรามีความสุขที่ได้พูดคุยกันถึงอุดการณ์และสิ่งที่เราจะนำเสนอในหนังสือพิมพ์ และนั้นเป็นความฝันที่อยากทำสิ่งที่เรารักและเป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวผมที่จะได้ทำหนังสือพิมพ์สักเล่มหนึ่งให้ดีที่สุด

แต่ใช่ว่าทุกวันเราจะมีความสุขกับการคิดและเขียน ผมและเพื่อนต้องพบกับปัญหาต่าง ๆ มากมายในการทำหนังสือพิมพ์ ซึ่งผมก็อดคิดไม่ได้ว่า ครั้งหนึ่งมีนักหนังสือพิมพ์ผู้ใหญ่ได้เขียนเล่าประวัติตัวเองอว่า “เขาเคยคิดที่จะเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ แต่พอกลับมาเมืองไทยก็อยากเปลี่ยนแปลงแค่เมืองไทย แต่พออยู่ไปขอแค่เปลี่ยนแปลงหนังสือพิมพ์ที่เขาทำให้ดีที่สุด” วันแรกที่ผมเป็นบรรณาธิการบริหารผมก็อยากทำให้หนังสือพิมพ์ที่ผมได้ทำนั้นเปลี่ยนแปลงสังคมในมหาวิทยาลัยที่ผมอยู่ให้มันดีขึ้น แต่พอทำ ๆ ไปก็คงทำได้แค่เปลี่ยนแปลงให้หนังสือพิมพ์และทีมงานทำ ทำหนังสือพิมพ์ให้ออกมาดีที่สุดก็พอ

จนถึงวันที่หนังสือพิมพ์ออกมา เป็นวันแรกที่ผมผิดหวังกับตัวเองเป็นอย่างมาก ความคนึงหาวันวาน วันที่ผมพูดกับเพื่อนถึงความฝัน ความหวัง มลายหายไปหมด ผมไม่คาดคิดว่าหนังสือพิมพ์ที่ผมจะออกมาแย่มากขนาดนี้ มีจุดผิดพลาดไปหมด ทุกอย่างดูเสมือนว่า สิ่งที่ผมทำมันเลวร้าย มันแย่ ซึ่งผมไม่คาดคิดว่ามันจะออกมาแย่ขนาดนี้  ฝันที่เคยฝัน วันนี้ยังไม่อยากจะพูดถึงแล้ว ความเหนื่อยล้าอ่อนแรงเข้ามาแทรก วันนี้ผมคงเหมือนคนเมาหมัด อยากทำแต่ไม่อยากฝัน

สิ่งสำคัญที่สุด คือ การปฏิเสธซึ่งความรับผิดชอบไปไม่ได้ เพราะ ผมในฐานะบรรณาธิการบริหาร คงไม่สามารถไปบอกกล่าวกับผู้อ่านทุกท่านได้ว่าสิ่งที่ผิดมันผิดเพราะอะไร มันทำไม่ได้ คนอ่านมีมากกว่าคนเขียน ก็ต้องย้อยกลับมาสู่ที่คนเขียนก่อนจะให้งานออกไปทำไมถึงไม่ทำให้มันดี ก็เป็นเพราะอย่างนี้แหละผมก็จึงต้องอดทนกับความอดสูที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ถึงตอนนี้คงอยากถอนหายใจให้มันดังไปเลย

เมื่อหนังสือพิมพ์ที่ผมและเพื่อนทำมันไม่ได้หมายถึงกระดาษไว้ห่อกล้วยแขก แต่มันหมายถึงประวัติศาสตร์ที่จะจารึกเอาไว้ หากมันแย่ขนาดนี้กี่รุ่นกี่คนที่อ่านคงจะจดจำเราไปตลอดถึงคุณภาพที่ออกมา สักวันหนึ่งเขาคงมาชี้หน้าด่าได้กระมั้งว่า คุณภาพของหนังสือพิมพ์ที่มีคนชื่อนี้ทำ มันทำได้แค่นี้หรือ

คงเป็นเรื่องความท้อแท้ในจิตใจ เพราะบางครั้งเราทุ่มเททุกสิ่งอย่างไป แต่ผลที่ได้ออกมากลับไม่ได้เป็นอย่างหวังมันก็คงต้องเสียใจเป็นธรรมดา ไม่เป็นไร ผมอาจเป็นคนที่ทำหนังสือพิมพ์ได้แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์แต่ผมคงไม่มีรู้จะกล่าวอะไรไปมากกว่านี้ นอกจากรักษาใจดวงนี้ให้เข้มแข็งบนเส้นทางนี้ เพื่อทำให้ผมไม่ตายและไม่แปรเปลี่ยนใจจากสายอาชีพนี้ 



วันนี้คงพอเท่านี้ก่อนพบกันใหม่อาทิตย์หน้า 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 273291เขียนเมื่อ 3 กรกฎาคม 2009 21:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 07:41 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

จำได้ว่าวันแรกที่ฉันเจอแกเป็นวันสัมภาษณ์โครงการสื่อสารมวลชนเพื่อสังคม

แต่ก็แค่เจออ่ะนะ ยังไม่ได้คุยกัน

ไม่น่าเชื่อว่าเราจะติดโครงการเดียวกันด้วย

และต่อมาจนวันนี้ก็ยังร่วมหัวจมท้าย เรียนเมเจอร์เดียวกันมาจนปี4

ฉันชื่นชมแกนะโว้ยในความคิด อุดมการณ์ ความฝัน มันช่างดูยิ่งใหญ่

ต่างกับฉัน

ที่อยากมาเรียนมช.เพราะเห็นว่ามันสวย น่าอยู่

อยากเรียนหนังสือพิมพ์เพราะว่ามันท้าทาย

นั้นเป็นแค่เพียงความรู้สึกแว๊บแรก แต่เมื่อได้ทำข่าว เขียนบทความ มีคนอ่าน

ฉันเริ่มชอบและอยากเป็นคนหนึ่งที่สร้างสรรค์ผลงานที่ดี และมีคุณค่า

จนวันนึงมีโอกาสได้เป็นบก.บห.กะเค้า ฉันไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากมาย

คงเพราะเป็นฉบับแรกที่พวกเราจะได้ฝึกการทำงานแบบจริงๆจังๆ

แค่อยากให้งานออกมาดี มีคนอ่าน เท่านั้นก็พอใจ

ฉันไม่เสียใจที่งานออกมามีจุดผิดพลาดมากมาย คงเพราะไม่ได้หวังไว้มากนัก

แต่ฉันว่างานที่พวกเราฝึก เราทำ มันมาจากความตั้งใจ

และอยากพัฒนาทั้งรูปแบบและเนื้อหาให้ดีขึ้น

โดยเฉพาะรูปแบบที่เปลี่ยนไปมาก

ดูทันสมัยขึ้น น่าสนใจขึ้น แกเองก็เป็นแรงผลักเรื่องดีไซด์เลยนะโว้ย

ฉันภูมิใจกับหนังสือพิมพ์ฉบับแรกมาก

มาถึงฉบับที่เราทำปัจจุบัน ฉันว่ามันมีพัฒนาการจากฉบับแรกพอสมควร

แม้รูปลักษณ์จะไม่ดูดีเท่า ด้วยข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ แต่ฉันว่าเนื้อหาดูเข้มข้นขึ้น

แม้จะยังดูไม่ดีที่สุดในสายตาใคร แต่ในสายตาของฉัน มันดีขึ้น

ความผิดพลาด จะทำให้เราไม่ประมาทในวันพรุ่งนี้

แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเกิดขึ้นอีก

ไม่มีใครโทษแกนะโว้ย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน

ที่ต้องยอมรับและแก้ไขกันไป

ฉันไม่อยากให้แกคิดว่ามันเป็นหนังสือพิมพ์ที่แย่เลย เพราะนั้นหมายถึงแกดูถูกความคิด ความฝัน ของตัวแกเอง รวมทั้งดูถูกความตั้งใจของเพื่อนๆด้วย

มาถึงจุดนี้ ฉันว่าแกทำได้ดีแล้ว

ไม่มีอะไรดีที่สุดหรอกโว้ย แย่ที่สุดก็ไม่มีเหมือนกัน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท