กอด


จากที่เราเคยวิ่งไล่จับน้องแล้วกอดไว้เพื่อไม่ให้วิ่งหนีออกจากห้อง กลายเป็นว่าน้องเป็นคนวิ่งเข้าหาเราและจูงมือเราให้ไปเล่นกับด้วย

ครอบครัวของเด็กชายวาฑิต  บุญชุบ  ชื่อเล่น  น้องเอิร์ท  อายุ  6 ปี จากครั้งแรกที่ทีมแพทย์ได้ลงสำรวจเยี่ยมบ้านได้พบกับครอบครัวของน้องเอิร์ทอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 คน ฐานะทางครอบครัวยากจน  พ่อของเอิร์ทขับรถรับจ้าง  แม่ของเอิร์ทรับจ้างกรีดยาง  น้องเอิร์ทเป็นเด็กออทิ-สติก  พฤติกรรมของน้องจะไม่นิ่งกระโดดโลดเต้นอยู่ตลอดเวลา  ไม่มีอาการเหนื่อย น้องไม่สามารถพูดได้ และไม่สื่อสารกับบุคคลรอบข้าง  เมื่อทางทีมแพทย์ได้รับตัวน้องเอิร์ทเข้ามาอยู่ในโครงการฟื้นฟูเด็กพิการ เพื่อมารับกิจกรรมบำบัดควบคู่กับการทานยา  ทำให้เจ้าหน้าที่ได้สัมผัสกับน้องเอิร์ทอย่างใกล้ชิด และเจอกับน้องบ่อยขึ้น ช่วงแรกที่สอนน้องให้ทำกิจกรรมยอมรับเลยว่ายากและเหนื่อยจนท้อใจว่าเราคงสอนเด็กคนนี้ไม่สำเร็จแน่  เพราะน้องเอิร์ทไม่มีทีท่าว่าจะทำตามหรือให้ความร่วมมือกับครูผู้สอนเลย  และที่สำคัญน้องไม่เคยมองเราหรือเราไม่เคยอยู่ในสายตาน้องเลย ครูผู้ฝึกก็ทำได้แค่จับน้องกอดไว้เพื่อไม่ให้น้องวิ่งออกจากห้อง  แต่เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 2 เดือน จากที่เราเคยวิ่งไล่จับน้องแล้วกอดไว้เพื่อไม่ให้วิ่งหนีออกจากห้อง  กลายเป็นว่าน้องเป็นคนวิ่งเข้าหาเราและจูงมือเราให้ไปเล่นกับด้วย  นั่นหมายถึงน้องเอิร์ทมองเห็นเราซึ่งเป็นครูผู้สอนอยู่ในสายตาแล้ว  และนั่นก็เป็นโอกาสดีที่เราจะเริ่มการฝึกกิจกรรมบำบัดให้กับน้องเอิร์ท

                น้องเอิร์ทเป็นเด็กฉลาดและเรียนรู้ได้เร็ว  กิจกรรมบางอย่างที่ยังไม่เคยสอน  แต่น้องเอิร์ท สามารถทำได้  โดยสามารถแยกกลุ่มสีได้ และเสร็จอย่างรวดเร็ว  และสามารถแยกชนิดของเล่น 4 กลุ่มโดยจัดวางอย่างเป็นหมวดหมู่และถูกต้อง  น้องเอิร์ททำให้ครูผู้สอนแปลกใจอยู่เสมอ  เช่น  เมื่อเล่นของเล่นเสร็จแล้วจะจัดเก็บไว้ที่เดิมอย่างเป็นระเบียบ  เมื่อทำกิจกรรมเสร็จจะต้องปิดไฟก่อนออกจากห้องและยกมือไหว้ครูผู้สอนทุกครั้ง และมีอยู่วันหนึ่งครูผู้สอนป่วยและบอกกับน้องเอิร์ทพร้อมกับลูบหัวเบาๆ  ก่อนเข้าห้องว่า  วันนี้อย่าวิ่งซุกซนนะ  อย่าดื้อนะ  เพราะครูไม่ค่อยสบาย  เดี๋ยววิ่งตามเอิร์ทไม่ทัน คุณเชื่อหรือไม่ชั่วโมงนั้นทั้งชั่วโมงน้องเอิร์ทนั่งเล่นของเล่นอยู่กับที่ไม่ลุกขึ้นไปไหนเลย

                มีสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้และต้องคำนึงถึงคือผู้ปกครองของเด็ก  ทุกครั้งที่น้องเอิร์ทมารับกิจกรรมบำบัด  คุณแม่ของน้องเอิร์ทจะมาด้วยทุกครั้ง และครูผู้สอนไม่ได้เป็นเพียงผู้ฝึกเด็กเพียงอย่างเดียวแต่ต้องเป็นที่ปรึกษาและคอยแก้ปัญหาร่วมกับผู้ปกครอง  เด็กจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ปกครองด้วย  ต่อให้ครูผู้สอนฝึกดีแค่ไหนก็ตาม  แต่เมื่อกลับไปถึงบ้านผู้ปกครองไม่สนใจในตัวเด็กไม่ช่วยกันผลักดัน  การฝึกและฟื้นฟูก็ไม่มีความหมาย

สุดท้ายอยากบอกว่าภูมิใจมากที่ได้มาทำงานอยู่ตรงนี้  และได้เจอกับน้องเอิร์ทและครอบครัวได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้น้องเอิร์ทมีโลกที่กว้างขึ้น  กล้าที่จะเผชิญกับบุคคลแปลกหน้า กล้าที่เรียนรู้กิจกรรมใหม่ๆ  ไม่อยากเชื่อเลยว่าแค่การกอดและสัมผัสเบาๆ  จะทำให้เด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยสนใจอะไรเลย  ไม่เคยมองเห็นใครอยู่ในสายตา เห็นเราเป็นคนแปลกหน้า จะเปลี่ยนพฤติกรรมจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง

หมายเลขบันทึก: 273194เขียนเมื่อ 3 กรกฎาคม 2009 15:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 07:41 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท