"ถ้อยคำแห่งความเมตตา บทภาวนาเพื่อให้ชีวิตได้เติบโต" ... (ท่านชุติปัญโญ)


คำพูดแม้จะไม่ใช่อาวุธที่กรีดลงไปที่กายเนื้อ แล้วทำให้เราเจ็บปวด แต่กลับเป็นสิ่งที่กรีดลงไปได้ลึกและเจ็บได้ถึงใจ ซึ่งชื่อว่า เป็นความปวดร้าวเสียยิ่งกว่าการถูกแทงด้วยอาวุธร้ายทางกายภายนอกหลายเท่า

ในการใช้ชีวิตร่วมกันของคนเรา หากมีการช่วยกันสานต่อมิตรภาพให้เกิดขึ้นในแต่ละคนได้อย่างเหมาะสม ชีวิตที่โยงใยเป็นสายสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ย่อมจะเกิดเป็นความงามมิมีเสื่อมคลาย และทำให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้นกว่าเดิม

แต่เมื่อใดที่เราสร้างความชิงชังให้เกิดขึ้น แม้จะอยู่ใกล้กันเพียงใด ทว่าหัวใจแห่งความเป็นมิตรได้ถูกหมางเมินไป ความห่วงใยที่จะได้รับการต่อยอดให้เกิดเป็นความเอื้ออาทรต่อกัน ก็มักจะกลายเป็นความแห้งแล้งแห่งมิตรภาพอย่างน่าเสียดาย

โดยเฉพาะการแสดงออกที่ต้องใช้ภาษาที่สื่อถึงกัน ซึ่งเป็นการแสดงเจตจำนงผ่านความรู้สึกที่แต่ละคนที่อยู่ หากคำพูดที่พรั่งพรูออกมาเป็นแค่เพียงลมปาก ที่ไร้ซึ่งความรักที่มาจากใจ ถ้อยคำที่ควรเป็นไปเพื่อทำให้เรารู้สึกชื่นใจก็จะกลายเป็นน้ำกรดที่หลั่งลดเพื่อรดความดีงาม ให้กลายเป็นความเหือดแห้งและตายไป

"คำพูด" ที่เราพูดออกไป จึงเป็นได้ทั้งเหลือกแหลมที่พุ่งออกไปเพื่อทำร้ายผู้คนให้เจ็บปวด แต่เมื่อใดคำพูดมีการเพิ่มเติมด้วยจิตที่มีความเอื้ออาทรห่อหุ้ม ถ้อยคำคำเดิมย่อมกลายเป็นดอกไม้งามที่ได้รับรู้คราใด ก็ทำให้ใจรู้สึกดีทุกครั้งเช่นกัน

 

มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งพูดคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน ดูประหนึ่งว่าเธอช่างมีความสุขเหลือเกิน แต่สักพักก็มีเพื่อนเดินเข้ากระซิบที่ข้างหู จากเดิมที่เป็นเสียงหัวเราะชอบใจ ก็กลับกลายเป็นเสียงร้องไห้ และพรั่งพรูออกมาด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจในทันที

ในขณะที่เธอกำลังร้องไห้ฟูมฟาย เพราะฟ้งถ้อยคำที่ไม่น่าปรารถนาอยู่นั้น ก็มีเพื่อนอีกคนเข้าไปกระซิบที่ข้างหูว่า "สิ่งที่เธอได้รับฟังมานั้น เป็นถ้อยคำที่เข้าใจผิด"

หญิงสาวผู้ดูประหนึ่งถูกความทุกข์ท่วมท้นใจ กลับลุกขึ้นมาแล้วหัวเราะด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม และกลับมามีอารมณ์ที่แจ่มใสดั่งเดิม เหมือนกับว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อนในชีวิตเธอ

 

คำพูดแม้จะไม่ใช่อาวุธที่กรีดลงไปที่กายเนื้อ แล้วทำให้เราเจ็บปวด แต่กลับเป็นสิ่งที่กรีดลงไปได้ลึกและเจ็บได้ถึงใจ ซึ่งชื่อว่า เป็นความปวดร้าวเสียยิ่งกว่าการถูกแทงด้วยอาวุธร้ายทางกายภายนอกหลายเท่า

 

พระพุทธองค์จึงทรงตรัสสอนสาวกทั้งหลาย ให้รู้จักระวังทุกถ้อยคำที่ต้องการแถลงไข เพราะตราบที่เรายังไม่พูดอะไรออกไป เราก็ยังชื่อว่า เป็นนายคำพูดของตนเอง แต่เมื่อใดที่คำพูดล่องลอยออกไป ทั้งที่ตั้งใจและพลั้งเพลอ คำพูดนั้นก็จะกลับมาเป็นนายของเราในทันที

ที่สำคัญ หากพูดไม่ถูกกาลเวลาที่เหมาะสม ทุกอย่างที่ถูกถ่ายทอดให้ผู้คนได้รับรู้ ก็จะนำความไร้ค่ามาสู่ตัวเราและทุก ๆ เรื่องที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องกับมัน

 

ครั้งหนึ่งมีผู้ไปทูลถามพระพุทธองค์ในการใช้คำพูดว่า คำพูดและวิธีพูดที่ดีนั้นควรเป็นเช่นใด พระองค์จึงตรัสถึงสาระหลักของการเกี่ยวข้องกับคำพูดว่า

 

"สิ่งใดเป็นความจริง แต่ไม่มีประโยชน์

พระองค์จะไม่ตรัสคำนั้นออกไป

ถึงแม้นว่าสิ่งที่เป็นความจริง

และมีประโยชน์เพียงใด

พระองค์ก็จะเลือกกาลเวลา

ที่จะตรัสคำเหล่านั้น"

 

ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนอยู่เนือง ๆ คำพูดจึงเป็นกระบอกเสียงที่สะท้อนให้ได้ยินสิ่งที่เราคิด เพื่อให้คนอื่นได้รับรู้ในความเป็นเราอยู่ในที

แต่คำพูดที่ถูกส่งต่อออกไป หากไร้ความละเอียดละไมที่เกิดขึ้นทางใจ ไร้สติในการประคับประคองในถ้อยคำที่นำเสนอ สิ่งที่ผู้ฟังรับรู้ ก็มักจะสัมผัสได้ถึงความไม่จริงใจ หรือความหยาบคายที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำนั้น

ที่สำคัญ การเกี่ยวข้องกับคำพูด จะสัมผัสได้ถึงความเอื้ออาทรได้ หากถ้อยคำนั้นมาจากความจริงใจ และมีความเมตตาคอยห่วงหาต่อสิ่งที่จะสื่อสารให้ผู้คนได้เข้าใจ ซึ่งจะทำให้ทุกวิถีที่มีถ้อยคำเป็นคู่มือสานสัมพันธ์ ได้ก่อเกิดเป็นความสมดุลต่อกันในทุกกรณี

 

ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูดต่อตัวเอง ก็ควรเป็นคำพูดที่เป็นไปเพื่อเป็นการให้กำลังใจ และให้สติต่อการเตือนเป็นหลัก ไม่ควรเป็นคำพูดที่เหยียบย้ำซ้ำเติม เมื่อเราประสบกับความทุกข์หรือปัญหาที่เข้ามารุมเร้า

ไม่ใช่เป็นคำพูดที่ดูหมิ่นเหยียดหยาม จนทำให้เรารู้สึกผิดตามสิ่งที่เราทำลงไป กระทั่งหมดกำลังใจที่จะลุกขึ้นสู้กับปัญหา จนต้องยอมรับความพ่ายแพ้อย่างผู้ยอมจำนน

ครั้นเวลาจะพูดกับผู้อื่น เราก็ควรเพิ่มความเมตตาลงไปในถ้อยคำวจีนั้นด้วย เพราะถ้อยคำที่มาจากจิตที่มีเมตตาอารีย่อมเป็นดั่งน้ำฝนที่ชโลมลงมายังพื้นดิน เพื่อให้พืชนานาพันธุ์ได้เติบโต

เพราะถ้อยคำที่เราใช้สื่อสารกับผู้อื่นที่มีความเมตตาซ่อนอยู่ในวลีดังกล่าว ย่อมเป็นถ้อยคำแห่งความหวังดี ที่ช่วยทำให้สิ่งดีที่เขามีอยู่ได้รับการยืนยันว่า มันคือความจริงที่เขาควรรักษาให้มีในตนต่อไป

 

อีกอย่างหนึ่ง แม้หากชีวิตของเขาติดลบ แต่เมื่อได้รับฟังถ้อยคำที่เป็นไปฉันท์มิตร มีรายละเอียดของการให้สติเป็นคู่มือในการเปลี่ยนแปลงตนเอง ย่อมทำให้เขามีความกล้าที่จะลุกขึ้นต่อสู้กับปัญหา และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกเรื่องราวด้วยกำลังใจที่มากกว่าเดิม

คำพูดหรือถ้อยคำแห่งความหวังดี ที่มีความเมตตาอารีซ่อนอยู่ในทุกถ้อยคำที่เรากล่าวออกไป จึงเป็นสิ่งที่ช่วยเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ สิ่งที่เลวร้ายให้กลายเป็นดีได้ และจากเรื่องดี ๆ ที่ทรงคุณค่า ให้ถูกยกระดับให้สูงค่ายิ่งขึ้นต่อไปอย่างไม่มีประมาณ

ตรงกันข้าม หากเราใช้คำพูดที่ถูกเพิ่มเติมด้วยอารมณ์ที่เกรี้ยวกราด ไร้ซึ่งภาวะของความเป็นมิตร  ทุกสิ่งที่ถูกส่งต่อออกไห้ผู้คนได้รู้จักผ่านถ้อยคำของเขา ย่อมลากจูงตัวเราไปสู่ความหายนะอย่างหาที่สุดมิได้เช่นกัน

คำพูดทุกถ้อยคำจึงเป็นรายละเอียดที่เราต้องใส่ใจทุกครั้ง ก่อนที่จะนำเสนอสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจให้ปรากฎ เพราะนั่นอาจเป็นคำที่มาเปลี่ยนชีวิตของเรา และคนที่เราเกี่ยวข้องตลอดไปก็เป็นได้

แต่หากเราเติมความเมตตาลงไปในทุกถ้อยคำที่ต้องการแถลงไข นั่นชื่อว่าเรากำลังสร้างวิธีภาวนาให้กับชีวิตให้มีความเจริญงดงามทั้งต่อตัวเรา และต่อทุกสรรพสิ่งที่มีเราเข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นเหมือนกับบทภาวนาที่ทำให้ชีวิตของเราได้เติบโตอย่างมีทิศทาง และมีความหวังที่จะนำตัวเองและผู้อื่นไปสู่สิ่งที่ดีงามตลอดไป

 

......................................................................................................................................

 

เราจะเห็นว่า "การใช้ถ้อยคำ" สามารถนำมาซึ่งมิตรหรือศัตรูได้เสมอ ขึ้นอยู่กับว่า ก่อนเอ่ยคำใดนั้น เราได้ตระหนักคิดบ้างหรือไม่ว่า หากกล่าววาจาออกไป จะเกิดประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน

แม้กระทั่งพระพุทธองค์ยังได้กล่าวในเวลาที่เหมาะสม

ผมเคยพบ "คนตรง" ที่มักจะพูดอะไรไม่รู้จักคิดก่อน ไม่ได้คำนวณถึงผลที่เกิดจากคำพูดของตน บางครั้งคนฟังเจ็บปวด บางครั้งสถานการณ์นั้นไม่ควรใช้

จากหวังดีกลายเป็นเบียดเบียนความรู้สึกของคนที่เรารักด้วยคำพูด

เตือนตัวเองก่อนคิดจะพูดอะไรออกมา คำหนึ่งยังผลทั้งชีวิตของเขาก็เป็นได้

เช่นกัน ... สังคมชุมชนเสมือนแห่งนี้ ไม่ต่างอะไรจากสังคมโดยปกติ

หลายครั้ง เราเห็นการพูดต่อว่า ต่อขานอย่างไร้ความรู้สึกที่มีต่อผู้รับ

หลายครั้ง เราก็มองว่า ทำไมให้กำลังใจกันนักหนา ... (คำตอบน่าจะอยู่ข้อเขียนธรรมนี้ครับ)

หลายครั้ง โมโหโกรธา หาว่า ทำไมเราไม่คุยในประเด็นกันจริง ๆ จัง ๆ (ทั้ง ๆ ที่บางทีอาจจะต้องมีทั้งน้ำเย็นมาลูบก่อน ตรงไปตรงมา บางทีก็ยังไม่พร้อมรับ)

หลายครั้ง เราพูดด้วยตัวตนโดยไม่สนหัวใจคนอื่น

"คิดก่อนพิมพ์ดีไหมครับ ... สมาชิกของ Gotoknow.org"

มันเป็นเช่นนั้นเอง

บุญรักษา ครับ ;)

 

......................................................................................................................................

ขอบคุณหนังสือธรรมะดี ๆ

ชุติปัญโญ.  อย่านำดวงใจไปให้ใครเหยียบเล่น.  กรุงเทพฯ: ใยไหม, 2552.

 

หมายเลขบันทึก: 272895เขียนเมื่อ 2 กรกฎาคม 2009 19:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:00 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

จริงๆด้วยค่ะ ครั้งหนึ่งเคยใช้คำพูดที่ตรงเกินไปซึ่งตนเองไม่ได้ทันคิดว่าคู่สนทนาของเราเค้าจะรู้สึกแย่ได้มากมาย หลังจากที่รู้ต้องมานั่งปรับความเข้าใจกันซะยกใหญ่เลยค่ะ จากวันนนั้นมาเลยไม่กล้าพูดอะไรที่ตรงไปตรงมามากนัก

ขอบคุณสำหรับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครับ คุณ พิชิดา ;)

สวัสดีค่ะ พี่อ.Wasawat Deemarn

แวะมาเยี่ยมค่ะ

การจะพูดอะไรออกไป บางความจริงเราก้ต้องเลือกเวลาและสถานที่ อีกทั้งเราก็ควรต้องปรับคำพูดให้มันถนอมน้ำใจคนฟังด้วย จะได้สันติทั้งสองฝ่าย ใช่มั้ยคะ

ขอบคุณสำหรับพุทธพจน์ เพื่อการดำเนินชีวิตค่ะ

สวัสดีจ้า น้องอาจารย์ หัวใจติดปีก ;)

เรียนสบาย ๆ หรือ เรียนหนักขึ้นเอ่ย ..

จะพูดอะไรออกไป ควรคิดให้รอบคอบ เพราะหากคิดให้ดี ผลที่ได้จะดีตามที่ใช้เวลาใคร่ครวญจ้า

ขอบคุณครับ ;)

สวัสดีค่ะ  พี่อาจารย์ Wasawat Deemarn

ดีใจค่ะ ที่เห็นบทความของบันทึกนี้... 

นีนานันท์ คิดว่าทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเองในการสร้างทางสื่อสาร  ต่างกันเพียงสำนึกของจิตใจ และจุดมุ่งหมาย ในขณะนั้น  และ เมื่อผ่านไปแล้ว หลายๆ อย่างไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งเหตุการณ์ และ ความรู้สึกดีๆ ที่มีเพิ่มพูนมากขึ้น หรือ ที่ได้หายไปแล้ว...  ซึ่งก็มักได้ยินสำนวนไทยว่า...   เลยตามเลย...  ไปตามน้ำ...  หรือ ตกกระไดพลอย(กระ)โจน...  และพุทธภาษิตว่า  ทำดีได้ดี...  ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว...   เห็นด้วยกับพี่อาจารย์ว่า

เราจะเห็นว่า "การใช้ถ้อยคำ" สามารถนำมาซึ่งมิตรหรือศัตรูได้เสมอ ขึ้นอยู่กับว่า ก่อนเอ่ยคำใดนั้น เราได้ตระหนักคิดบ้างหรือไม่ว่า หากกล่าววาจาออกไป จะเกิดประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน

แม้กระทั่งพระพุทธองค์ยังได้กล่าวในเวลาที่เหมาะสม

ขออนุญาตฝากเพลงนี้ค่ะ...

ว้าเหว่    อรวี สัจจานนท์   (ชิ่อเพลง ว้าเหว่ แต่ไม่ว้าเหว่เลย...  อิ อิ)

http://www.imeem.com/glaibarn/music/fyNgZ_Pt//

ว้าเหว่ เร่ไปกับหัวใจช้ำ  เหงากระหน่ำ ค่ำลงนอนนับดาว

โอ้เราประคองรักไม่เป็น  กฎเกณฑ์การเอาใจสูญเปล่า

ฟ้าในคืนนี้ จึงดูเศร้า  เดือนเสี้ยวแขวนแทนดาว ราวฟ้าดูริบหรี่

ว้าเหว่ อยากเร่ไประบายสี   เขียวขจี ห่มชีวีพฤกษ์ไพร

 อยากบินไปทาสีฟากฟ้า ให้ดูงามตาเป็นฟ้าใหม่

สีดำคือรอยช้ำในดวงใจ  จะทาสีขาวให้  ใคร ใคร หัวใจงาม      

 

       

Grace  Daydreaming  Thevisitor  Flutterings  Resilience  Big-little-brother  Thebessmertnykhbluebell  Beauty

 

ความสุขของเราเอง สามารถสร้างง่ายๆ ด้วยการมีความทรงจำที่ดีๆ เพื่อได้ระลึกถึงคลอดเวลาด้วยค่ะ

 

ขอบคุณค่ะ   

ฝากเพลงมาเลยนะครับนี่ น้อง นีนานันท์ ;)

ขอบคุณครับ

แฮป ... ด้วยคนครับ คุณ berger0123 ;)

ขอบคุณมากครับ :)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท