เรื่องเล่า..ที่สะท้อนให้เห็นบางมุมของผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี


มาร่วมแบ่งปันสิ่งดีๆจากการเขียนเรื่องเล่าที่ช่วยเปลี่ยนโลกได้จริงๆใครที่หมดแรง หมดกำลังใจในตอนนี้ลองนึกถึงสิ่งดีๆ สิ่งที่ประทับใจอยากจะถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรหรือภาษาที่งดงามลองเริ่มเขียนดูนะคะ"ไม่ยากอย่างที่คิด"...

“ หนูไม่ได้ตั้งใจ ”                                                                                         

                เสียงแตรรถดังลั่นสวนยางพารา  พร้อมเสียงร้อง “ ช่วยด้วย ช่วยหนูด้วย ”  ของใครบางคนที่ดังออกมาจากในรถปิกอัพคันหนึ่ง  ใบหน้าของคนงานหญิงชายหลายคนที่ชะเง้อชะแง้มองมาจากด้านหลังของต้นยางพาราเพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น  แขนและขาทั้งสองข้างที่ปัดป่ายไปมาของหญิงสาวคนหนึ่ง  พยายามดิ้นรนจนสุดแรงเกิดเพื่อพยายามต่อสู้กับอะไรบางอย่าง  จนขาข้างหนึ่งไปกดทับแตรรถจนเกิดเสียงดัง  มันเกิดอะไรขึ้น  ชีวิตของลูกผู้หญิงคนหนึ่งจากผู้ชายที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “นายจ้าง”

ในตอนสายของเช้าวันหนึ่งเป็นวันพุธสัปดาห์สุดท้ายของเดือน  เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้นเป็นระยะจากการโทรติดต่อของผู้ป่วยในคลินิกจำปาขาว  ซึ่งก็คงไม่แปลกนักสำหรับฉันที่จะต้องรับโทรศัพท์จากผู้ป่วยในคลินิกเพราะทุกคนต่างก็มีเบอร์โทรศัพท์ของฉันที่จะติดต่อเพื่อปรึกษาหรือถามข้อมูลต่าง ๆ   เมื่อยามที่มีปัญหา   ทุกคนในโรงพยาบาลต่างรู้จักกันดีว่าคลินิกจำปาขาวเป็นคลินิกที่ดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ และคลินิกแห่งนี้ที่เป็นจุดเริ่มต้นมิตรภาพระหว่างฉันกับ สาว  “ สาว ” (นามสมมุติ)  เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มจำปาขาวที่มารับบริการของโรงพยาบาลที่ฉันทำงานอยู่  “ กลุ่มจำปาขาว ” เป็นชื่อที่สมาชิกของกลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี /ผู้ป่วยเอดส์  ใช้เรียกแทนตนเอง   ในวันพุธสัปดาห์สุดท้ายของทุกๆ เดือน มีการรวมกลุ่มกันเพื่อจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการให้ความรู้จากเจ้าหน้าที่และแกนนำกลุ่ม  การพูดคุยการให้การปรึกษาต่างๆ  มีการแนะนำสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเข้ามาร่วมกิจกรรม  รวมทั้งการทำสันทนาการเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด   กิจกรรมส่วนใหญ่ที่ทำเป็นการทำแบบเพื่อนช่วยเพื่อนทำให้ทุกคนเป็นกันเองซึ่งสมาชิกมักพูดเสมอว่า คลินิกแห่งนี้เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน มีการช่วยเหลือแบ่งปันสิ่งต่างๆที่ตนเองพอจะสามารถช่วยเหลือเพื่อนได้  ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้  หรือแม้แต่เงินเพียงเล็กน้อยที่ตนเองมีอยู่  รวมถึงการแบ่งปันความรู้สึกที่ดีๆต่อการติดเชื้อเอชไอวีเพื่อก่อให้เกิดเป็นกำลังใจในการต่อสู้กับโรคและชีวิตที่เป็นอยู่

สาว มีหน้าที่เป็นรองประธานของกลุ่มซึ่งต่อมาเมื่อประธานคนเดิมเสียชีวิตลง เพื่อน ๆ สมาชิกในกลุ่มต่างก็ลงความเห็นให้ สาว เป็นประธานคนต่อไปและด้วยบทบาทหน้าที่ของสาวทำให้สาวและฉันได้ทำงานร่วมกันบ่อยครั้งจนสาวรู้สึกไว้วางใจและเห็นฉันเป็นเหมือนพี่สาวของเธอ สาวเล่าเรื่องราวในชีวิตของเธอที่ผ่านมาให้ฉันฟัง  มันทำให้ฉันเองได้เรียนรู้แง่มุมชีวิตที่แตกต่างจากเดิมที่ฉันเองไม่เคยได้รู้มาก่อน

สาวเป็นคนรูปร่างเล็กๆที่ดูแข็งแรง  ตามแขนและขาทั้งสองข้างของสาวมีรอยแผลเป็นจุดสีดำที่สาวบอกว่าเกิดจากการถูกยุงและแมลงกัด   แววตาที่ดูซื่อๆบนใบหน้าที่มีรอยยิ้มมันช่างดูเป็นมิตรกับคนรอบข้าง ยิ่งทำให้ฉันอยากรู้จักและค้นหาความเป็นตัวตนของสาว  ฉันได้พบกับสาวทุกเดือน  สาวมาร่วมกิจกรรมไม่เคยขาดเพราะสาวเคยบอกฉันว่า  “ ใน 30 วันที่มีความทุกข์แต่ก็ยังดีที่มี 1 วัน ที่เรารู้สึกว่ามีความสุข คือวัน พุธ สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ที่ได้มาเจอหมอ เจอเพื่อนๆ” สาวรับรู้ถึงการติดเชื้อเอชไอวีจากสามี มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดซึ่งใครก็คงไม่อยากให้เกิดกับตัวเองแต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ต้องยอมรับและเผชิญกับปัญหานั้นให้ได้    สาวเคยคิดฆ่าตัวตายจากการรับรู้ผลเลือดของตนเอง แต่สิ่งที่ฉุดรั้งสาวไว้ครั้งนั้นคือ “ ลูก ” สาวบอกตัวเองเสมอว่าชีวิตที่มีอยู่ก็เพื่อลูก ต้องอดทนและเข้มแข็งเพื่อที่จะผ่านช่วงวิกฤตของชีวิตไปให้ได้ สาวต้องไปทำงานรับจ้างรายวันเพื่อแลกกับเงินที่จะต้องมาเลี้ยงดูลูกและจุนเจือครอบครัวไม่ให้อดอยาก  

                กริ๊ง  กริ๊ง  เสียงของใครบางคนดังมาตามสายโทรศัพท์ “ หนูถูกข่มขืน ”  เสียงที่แหบพร่าจนแทบจะฟังไม่ชัดว่าเป็นเสียงพูดหรือเสียงร้องไห้  คำพูดของสาวสะกดความรู้สึกของฉันให้หยุดนิ่ง  ทำไมมนุษย์คนหนึ่งถึงมีเคราะห์ร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ฉันรับรู้ความรู้สึกที่เจ็บปวดจากน้ำเสียงของสาวที่ได้ยิน  “ หนูถูกนายจ้างข่มขืน ”  สาวมาหาฉันในวันรุ่งขึ้นเพื่อเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฉันฟัง  แววตาซื่อๆ ดูสดใส ใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้ม  ที่ฉันเคยเห็นมันแทบไม่มีเหลือเลย  ฉันมองใบหน้าของผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า   อดคิดไม่ได้ว่า “ผู้หญิงเรานี่ต้องทนขนาดนี้เชียวหรือ ? ” สาวบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ จากเรื่องราวปัญหาชีวิตที่มากมาย ไม่รู้จักจบสิ้น

                         สาวเล่าว่าตนเองไปทำงานรับจ้างที่สวนยางพาราแห่งหนึ่ง เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวที่มีทั้งพ่อ แม่ ลูกสาว พี่สาวและพี่เขย สาวจะต้องออกจากบ้านแต่เช้าตรู่เพื่อทำงานโดยมีรถของนายจ้างมารับ – ส่งทุกวัน ในวันที่เกิดเหตุสาวบอกว่าตนเองไปทำงานตามปกติ หลังจากนายจ้างส่งคนงานหมดแล้วเหลือเพียงสาวคนเดียวที่นายจ้างบอกให้รอก่อนมีเรื่องจะคุยด้วย โดยให้สาวนั่งรอที่รถ ซึ่งเป็นรถปิกอัพ นายจ้างเริ่มทำสิ่งที่สาวคาดไม่ถึง เริ่มลวนลามและจะใช้กำลังเพื่อจะข่มขืนให้สำเร็จ    สาวร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนคนงาน ทุกคนมองเห็นสาวแต่ไม่มีใครสามารถมาช่วยเหลือได้เลย สาวพยายามบอกนายจ้างว่า “ หนูป่วยเป็นโรคเอดส์นะ ” แต่กลับไม่เป็นผลสำเร็จ  เหตุการณ์มันเกิดขึ้นซ้ำ ๆ แบบนี้หลายต่อหลายครั้ง แต่สาวก็แก้ไขอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยเลยตามเลย  สาวเล่าว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้ชีวิตของผู้อื่นต้องตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับเธอ ที่จะต้องมาทนทุกข์ทรมานกับเชื้อโรคร้ายนี้ แต่ตรงกันข้ามพวกผู้ชายเหล่านั้นต่างหากที่หยิบยื่นความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจมาให้สาวโดยที่เธอก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้           ฉันก็ไม่รู้ว่าภรรยาที่บ้านของผู้ชายคนนี้จะต้องมารับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทำของเค้าหรือไม่ อาจจะติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อก็คงไม่มีใครสามารถให้คำตอบฉันได้และจะมีอีกซักกี่คนที่จะต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

                           สาวกลับมาหาฉันที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อตรวจหาการตั้งครรภ์  ฉันตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของสาว “ หนูมีอาการผิดปกติคล้ายอาการของคนท้อง ประจำเดือนไม่มาตามปกติ คลื่นไส้ อาเจียน ทานอะไรก็ไม่ได้ ”  ฉันได้แต่ภาวนาว่า “ ขออย่าให้ท้องเลย ” เพราะถ้าสาวท้องจริง ๆ ปัญหาที่ตามมาคงอีกมากมาย

                          “สาวไม่ท้อง” ความรู้สึกของฉันและของสาวตอนนั้นคงไม่ต่างกันซักเท่าไหร่ น้ำตาที่เอ่อล้นดวงตาเศร้าๆของสาวมันเต็มไปด้วยความหวังเสียเหลือเกินเมื่อฉันแจ้งผลการตรวจปัสสาวะ

 “ หนูกลัวท้องจริงๆนะหมอ ” สาวพูดคำนี้อีกครั้ง “ หนูกลัวว่าถ้าหนูท้องจริง ๆ ลูกจะติดเอดส์และหนูก็คงไม่มีปัญญาเลี้ยงลูก ลำพังตัวเองก็จะเอาไม่รอด  หนูเองก็คงอยู่กับลูกได้ไม่นาน ” ฉันรู้ว่าสาวรับรู้ผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นหากตนเองท้อง แต่สิ่งที่มันแย่สำหรับสาวคือ  สาวไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะปฏิเสธหรือปกป้องตนเองจากผู้ชายคนนั้นได้เลยหรือเพียงเพราะคำว่า “นายจ้าง” ที่ทำให้สาวจะต้องทนกับการถูกย่ำยีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  ความทุกข์ของสาวสิ้นสุดลงเมื่อสาวตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อหนีปัญหาและเดินทางไปทำงานที่จังหวัดนครสวรรค์  สาวได้งานทำเป็นคนงานก่อสร้าง  ทำงานอยู่ประมาณ 1 เดือน ก็ต้องพบเจอกับปัญหาที่มันตอกย้ำความรู้สึกของสาวให้เจ็บปวดอีกครั้ง

                            สาวบอกว่า “ หนูถูกข่มขืน ” ฉันเจ็บแปลบกับคำพูดของสาว “ นี่มันอะไรกัน ” ฉันพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเหมือนกัน  สาวเล่าให้ฉันฟังว่า  สาวพักอาศัยอยู่ในแคมป์ของคนงานในบริเวณที่ก่อสร้าง  สาวได้รู้จักกับเพื่อนคนงานคนหนึ่งชื่อ “ ชาย ” (นามสมมุติ)  ด้วยสาวเป็นคนที่มีอัธยาศัยไมตรีและเป็นมิตรกับทุกคน จึงทำให้ไม่ยากนักที่สาวจะเกิดความสนิทสนมกับเพื่อนชายคนนี้ในเวลาไม่นาน 

                            คืนนั้นเวลาประมาณ สามทุ่ม สาวบอกว่าเพื่อนชายคนนี้เปิดประตูห้องพักเข้ามาหาสาว และจะลวนลามสาว สาวก็บอกว่า “ หนูป่วยเป็นเอดส์นะ ไม่กลัวเหรอ ” ชายตอบว่า “ ไม่เชื่อหรอก เป็นเอดส์ทำไมยังแข็งแรง ทำงานได้เหมือนผู้ชายเลย ” เหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำคล้ายกับครั้งแรก สาวไม่สามารถขัดขืนต่อสู้ได้ต้องปล่อยให้ทุกอย่างมันผ่านไป สาวบอกว่า “ ไม่รู้ว่าจะรู้สึกกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นอย่างไร มันไม่มีความรู้สึกอะไรอีกแล้ว ” สาวและชายอยู่ด้วยกันมาหลายเดือน   ทุกครั้งที่มีโอกาส  สาวไม่ลืมที่จะบอกชายว่า “ ตนเองติดเชื้อเอชไอวี ” สาวบอกว่าด้วยความใกล้ชิดและเห็นอกเห็นใจกัน มันก่อเกิดเป็นความรักครั้งใหม่ขึ้นมาสาวโทรศัพท์มาหาฉันเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบ  สาวบอกว่า “ คิดถึงฉัน ” มีเรื่องต่างๆ เล่าให้ฟังมากมาย ฉันดีใจที่สาวยังนึกถึงฉันทั้งตอนที่มีความทุกข์และตอนที่มีความสุข  สาวเล่าให้ฟังว่า  “ รู้สึกรักชายเพราะชายเป็นคนดี  ไม่รังเกียจคนเป็นเอดส์  ยอมรับตัวตนที่

แท้จริงของสาว ”  ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา รู้สึกว่าชายได้มาเติมเต็มบางส่วนของชีวิตที่ขาดหายไป  สาวจะพาชายมาแนะนำให้ฉันรู้จัก และขอให้ฉันตรวจเลือดของชายเพื่อดูการติดเชื้อเอชไอวี  ฉันถามสาวว่า “ชายยอมรับและรับรู้การเจ็บป่วยของสาวแล้วเหรอ ” ฉันถามด้วยความสงสัย  สาวตอบว่า “ ยอมรับแล้ว ก็เลยอยากมาตรวจเลือดดู เพราะถ้าติดเชื้อก็จะได้รีบรักษา ”

ทุกวันนี้สาวมีครอบครัวใหม่ มีผู้ชายที่สาวรักและรักสาว ยอมรับความเป็นตัวตนของสาวได้ซึ่งมันจะมีผู้ชายซักกี่คนที่จะทำใจ ยอมรับได้   “ หนูก็ไม่รู้ว่า ความรักและความสุขที่ได้นี้มันเป็นรักจริง หรือรักหลอก ”  สาวมีความสุขกับชีวิตใหม่ที่ได้มาโดยไม่ได้ตั้งใจ  สาวบอกว่าถ้าว่างจากงานจะมาหาฉันอีก

      ฉันโทรศัพท์หาสาวเพื่อติดตามการรักษาและพูดคุยเรื่องทั่วไป  สาวบอกว่าพาชายไปตรวจแล้วผลเลือดเป็นบวก และคิดว่าจะพาชายกลับมารักษากับฉัน  ฉันบอกสาวว่ารักษาที่นครสวรรค์ก็ได้เพราะถ้ามารักษาที่นี่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ  สาวขอลาออกจากการเป็นประธานกลุ่มเนื่องจากไม่สามารถมาร่วมทำกิจกรรมได้ทุกเดือน  สาวยังเดินทางจากนครสวรรค์มารับยากับฉันตามนัดทุกครั้งสาวบอกว่าอีกไม่นานก็จะย้ายไปทำงานที่กรุงเทพฯ แล้ว แต่สิ่งที่ยังเป็นห่วงอยู่คือ “ ลูก ”   

วันหนึ่งสาวแวะมาหาฉันที่โรงพยาบาลเพราะอยากจะมาขอซื้อ ที่ตรวจการ

ตั้งครรภ์  ฉันอดสงสัยไม่ได้ “ จึงถามสาวว่าจะซื้อไปทำไม ” สาวตอบว่า “ ที่หนูกลับมานี้ ก็เพราะว่าแม่โทรตามให้กลับมาดูลูกสาวเพราะมีอาการเหมือนคนแพ้ท้อง ” สาวทุกข์ใจมากจนไม่รู้จะคุยเรื่องนี้กับใคร จึงมาหาฉันที่โรงพยาบาลและเล่าทุกอย่างให้ฟัง สาวเล่าเรื่องราวของลูกสาวพร้อมน้ำตา  ลูกสาวของสาวกำลังเริ่มโตเป็นสาว ซึ่งช่วงที่สาวไปทำงานก็ให้ยายเป็นคนดูแล  สาวบอกว่าลูกสาวเที่ยวกลางคืน กลับบ้านดึกๆ บ่อยครั้ง และมีเพื่อนชายไปมาหาสู่  จนกระทั่งยายสังเกตเห็นว่าหลานมีอาการผิดปกติ คือ ชอบทานของเปรี้ยว  ท้องโตขึ้น และมีคลื่นไส้ อาเจียน  จึงโทรศัพท์ตามสาวให้มาดูลูก  สาวบอกว่าไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยว่าจะให้ตรวจปัสสาวะดูว่าท้องหรือไม่ สาวบอกว่า   “ ถ้าท้องก็จะพาไปทำแท้งและให้เรียนหนังสือต่อจนจบ ม.3  เพราะคงไม่มีปัญญาเลี้ยงได้ ลำพังหาเงินมารักษาต่ออายุตัวเองก็ลำบากแล้ว  มีหลานอีกคนก็คงจะแย่แน่ ๆ ”

สาวบอกฉันว่า  สามีของเธอ (ชาย) บอกให้เธอพาลูกไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วยเพราะปิดเทอมพอดีแต่สาวบอกกับฉันว่าสามีของเธอพยายามที่จะให้พาลูกสาวของเธอไปอยู่ด้วยกัน แต่สาวไม่อยากให้ลูกไปด้วย สาวก้มหน้า ลูบแขนไปมาหลายครั้ง  ฉันจับแขนสาวเบาๆอย่างนุ่มนวล  สาวร้องไห้ และบอกฉันว่า “ ถ้าหนูพาลูกสาวไปด้วย หนูกลัวว่าสามีใหม่จะข่มขืนลูกสาวของหนู เพราะเค้าไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของลูกไม่รู้ว่าจะรักจริงหรือเปล่า เพราะถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆหนูคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้ ” ฉันได้แต่ภาวนา “ ขอให้ชีวิตของสาวได้พบความสุขที่แท้จริง  ที่สาวโหยหามาตลอดชีวิต ”ทุกวันนี้สาวต้องมีชีวิตอยู่อย่างหวาดระแวง  กลัวสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับสาวจะกลับมาเกิดซ้ำกับลูกสาวอีก  ตลอดเวลาที่ผ่านมาสาวไม่เคยคิดว่าการติดเชื้อเอชไอวีหรือป่วยเป็นโรคเอดส์จะทำให้ชีวิตของสาวเลวร้ายเลยแต่สิ่งที่สาวคิดว่าชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นก็คือเรื่องราวเหตุการณ์ที่มันเกิดซ้ำซาก ตอกย้ำความรู้สึกของสาวต่างหากที่แทบจะทำให้ชีวิตที่มีอยู่ไม่อยากจะหายใจ

                เรื่องราวชีวิตของสาวเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ได้สะท้อนให้เห็นว่า  คนที่ติดเชื้อเอชไอวีบางครั้งอาจจะทำบางสิ่งไปโดยไม่ได้ตั้งใจ...ฉันคิดว่าชีวิตคนเราคงไม่มีใครที่อาจคาดเดาได้ว่าจะได้พบเจอเรื่องร้ายหรือเรื่องดีในชีวิตบ้าง  ซึ่งการทำงานของฉันก็เป็นพียงส่วนเล็กๆในสังคมที่ได้มีโอกาสมาดูแลผู้ป่วยเหล่านี้ ฉันรู้สึกภูมิใจมากที่ทุกวันนี้ได้ทำงานที่ฉันรักกับคนไข้ที่ต้องอยู่ในมุมมืดของสังคม   จะมีใครซักกี่คนที่ได้เห็นและสัมผัสชีวิตจริงๆของพวกเค้า  ถ้าฉันทำได้ อยากให้ทุกคนมีชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท เพื่อที่ชีวิตจะได้ไม่ตกอยู่สภาพเช่นเดียวกับสาว   ฉันขอบคุณทุกความรู้สึกของผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีที่มีให้กับพยาบาลผู้ดูแลอย่างฉันมันเปรียบเสมือนพลังที่มีคุณค่าในการทำงานด้านเอดส์ของฉัน ต่อไป

 

คำสำคัญ (Tags): #sha-narrative medicine
หมายเลขบันทึก: 272532เขียนเมื่อ 1 กรกฎาคม 2009 16:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 07:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

รอติดตามเรื่องที่สองเร็วๆนี้

ขอบคุณนะคะ..เป็นคนแรกที่แวะมาทักทาย

อิอิ เก่งแล้วค่ะ

เขียนอีกนะคะ ถ้ายาวก็แบ่งเป็นสองตอนเลยค่ะ รออ่านต่อนะคะ

เขียนได้ดีมากจ๊ะ

เก่งแล้วนะกาญ

แวะมาเป็นกำลังใจให้นะคะ

สู้ สู้ อิอิ

ขอบคุณมากคะพี่ต่าย ดีใจมากที่แวะมาให้กำลังใจ รออ่านของพี่ต่ายเช่นกัน

สวัสดีคะ

น้องกาญจคะ

แม่ต้อยต้องขอโทษที่หายหน้าตาไปนานคะ

ที่จริงคิดถึง แต่มีงานซ้อนๆๆมามากคะ

น้องกาญจ เขียนลงบล้อกนี่ละคะ

แล้วแม่ต้อยจะเอาเรื่องของรุ่นที่เรียนรุ่นแรก มาคัดเลือกลงพิมพ์ในงาน Pre Forum ที่เราจะมาพบกันนะคะ

สวัสดีคะ  เขียนเก่งมากๆคะ

เล่าเรื่อง SHA ของรพ.ด้วยนะคะ

สวัสดีคะ

เอาบรรยากาศ ที่สามพรานคืนแรกมาฝากคะ  เผื่อจะได้ มีกำลังใจเขียนอีกมากๆคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท