เทคนิคการอภิปรายผลงานวิจัย
@ การอภิปรายผล เป็นส่วนที่นำผลการวิจัยมาเสนอพร้อมกับบอกเหตุผลว่าทำไมผลจึงเป็นเช่นนั้น เป็นส่วนที่ผู้วิจัยสามารถแสดงความคิดเห็น ประกอบกับการเสนอข้อมูลและงานวิจัยของบุคคลอื่นทั้งที่สอดคล้องและไม่สอดคล้องไว้อย่างมีเหตุผล
เทคนิคการเขียน
1. อภิปรายผลตามผลการวิจัยที่เรียงตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย เริ่มจากผลการวิจัยที่ตอบวัตถุประสงค์ข้อ 1 ก่อน โดยเสนอผลการวิจัยในภาพรวมเพื่อตอบวัตถุประสงค์การวิจัย และถ้าวัตถุประสงค์ดังกล่าวมีสมมุติฐาน ระบุว่าผลการวิจัยเป็นไปตามสมมุติฐานหรือไม่
2. อภิปรายผลว่าที่เป็นผลดังนั้นเพราะเหตุใด สอดคล้องและไม่สอดคล้องกับคำกล่าวและงานวิจัยของใครไว้ว่าอย่างไร สอดคล้องและไม่สอดคล้องอย่างไร เพราะเหตุใด อาจจะเสนอข้อมูลประกอบเพื่อการยืนยัน และความน่าเชื่อถือ แต่ควรเสนอไว้เป็นความเรียง ไม่ควรเสนอเป็นตาราง ไม่ควรเสนอเป็นตาราง แผนภาพ หรือแผนภูมิ ถ้าเสนอเป็นความเรียงไม่ได้ จำเป็นต้องเสนอเป็นตารางแผนภาพ หรือแผนภูมิให้ใส่ไว้ในภาคผนวก โดยระบุให้ผู้อ่านศึกษารายละเอียดจากภาคผนวก
3. แต่ละข้อถ้ามีผลการวิจัยที่เป็นรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น จำแนกเป็นรายด้าน ให้เสนอต่อจากภาพรวมในข้อเดียวกัน ใช้หลักการเดียวกันคือ เสนอผลการวิจัยแล้วตามด้วยอภิปรายผล ระวังการอภิปรายผลการวิจัยในข้อย่อยต้องไม่ขัดกับผลในภาพรวมและข้อย่อยข้ออื่น ถ้าจำเป็นเพราะผลการวิจัยเป็นเช่นนั้น ผู้วิจัยต้องให้ตุผลอภิปรายอย่างสมเหตุผล เช่น งบประมาณน้อยแต่ไม่เป็นปัญหา เพราะเหตุใด เป็นต้น
4. คำกล่าวหรืองานวิจัยที่นำมาอ้างอิงเพื่อประกอบการอภิปรายผลต้องมีสาระอยู่ในบทที่ 2
ตัวอย่างการอภิปรายผลการวิจัย
เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และแรงจูงใจในการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนดงไผ่วิทยาคม ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสรรค์สร้างความรู้และการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสรรค์สร้างความรู้และการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
อภิปรายผล
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และแรงจูงใจในการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสรรค์สร้างความรู้และการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ อภิปรายผลดังนี้
1. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสรรค์สร้างความรู้และการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 1 สามารถอภิปรายผลการวิจัยได้ดังนี้
การจัดการเรียนรู้แบบสรรค์สร้างความรู้ เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดำเนินการตามแนวทางการสร้างองค์ความรู้ โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ มีลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่เน้นบทบาทของผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง โดยการสร้างความรู้ใหม่ด้วยตนเอง จากการเชื่อมโยงโครงสร้างความรู้เดิมของแต่ละคนกับความรู้ใหม่ที่ได้จากการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว โดยแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิซึม เชื่อว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในบุคคล บุคคลเป็นผู้สร้างความรู้จากความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่พบเห็นกับความรู้ความเข้าใจที่มีอยู่เดิม (วัฒนา ระงับทุกข์. 2542: 15) ซึ่งในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสรรค์สร้างความรู้ มีขั้นตอน 5 ขั้น ซึ่งได้แก่ ขั้นกำหนดปัญหา ขั้นปฏิบัติการแก้ปัญหา ขั้นสะท้อนความคิด ขั้นปรับกระบวนการแก้ปัญหา และขั้นประยุกต์ความรู้ โดยผู้สอนเป็นผู้จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง กระตุ้นและสร้างบรรยากาศให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ และตระหนักถึงความรู้พื้นฐานและประสบการณ์เดิมของผู้เรียน โดยผู้สอนได้ใช้กิจกรรมเพื่อดึงความรู้พื้นฐานและประสบการณ์เดิมของผู้เรียนแทนที่การถามตอบของผู้เรียนกับผู้สอน จากนั้นให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ใหม่จากการเชื่อมโยงกับความรู้เดิมของแต่ละคน ที่ได้จากการปฏิบัติในขั้นปฏิบัติการแก้ปัญหา ที่มีการระบุปัญหา ตั้งสมมติฐาน ทดลอง และการสรุปผลการทดลองภายในกลุ่ม ขั้นการสะท้อนความคิดที่ให้ผู้เรียนได้มีการเสนอความคิดแลกเปลี่ยนความรู้ซึ้งกันและกัน ขั้นปรับกระบวนการแก้ปัญหาที่ให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และขั้นประยุกต์ความรู้ที่ให้ผู้เรียนได้คิดหาวิธีแก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ ทำให้ผู้เรียนได้มีการปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ตัดสินใจร่วมกัน ให้เหตุผลซึ่งกันและกัน มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของผู้เรียนกับเพื่อนและกับผู้สอน และได้แก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่ที่ผู้สอนกำหนดให้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาความรู้ กระบวนการคิด การแก้ปัญหา การตัดสินใจ ซึ่งตรงกับ สุวัฒน์ นิยมค้า (2531: 25-26) ที่กล่าวว่า ในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์นั้น ผู้เรียนจะเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้นก็ต่อเมื่อผู้เรียนได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการค้นคว้าความรู้นั้น มากกว่าการบอกให้ผู้เรียนรู้ ทำให้ผู้เรียนมีการพัฒนาในด้านความรู้ ความคิด ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับงานวิจัยของ สาคร ธรรมศักดิ $(2541: 81) ซึ่งพบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิซึมแบบร่วมมือและการสอนตามคู่มือครู มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
การจัดการเรียนรู้แบบสรรค์สร้างความรู้ ที่ให้นักเรียนได้เป็นผู้สร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง จากการเชื่อมโยงความรู้เดิมที่มีอยู่กับความรู้ใหม่ที่พบจากสถานการณ์ที่กำหนดให้ โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในลักษณะของกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันร่วมมือกันจึงมีผลทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสรรค์สร้างความรู้และการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
ไม่มีความเห็น