การศึกษาระบาดวิทยา
การประยุกต์ใช้หลักการและเทคนิคทางระบาดวิทยา
1.สืบหาแหล่งของโรคที่ทราบสาเหตุหรือสามารถระบุสิ่งก่อโรคได้
2.สอบสวนและควบคุมโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุ หรือยังไม่สามารถระบุสิ่งก่อโรคได้
3.ศึกษาลักษณะทั่วไปของโรค
4.วางแผนการเฝ้าระวังและควบคุมโรค
5.ประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของมาตรการควบคุมโรคต่างๆ
6.วิเคราะห์การตัดสินใจทางคลินิก
องค์ประกอบของการศึกษาระบาดวิทยา
1. การศึกษาระบาดวิทยาเชิงคุณภาพ (Qualitative investigation)
1 . การศึกษาลักษณะทั่วไปของโรค (Natural history of disease) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษระการเกิดโรคในประชากรเป้าหมาย ตลอดจนลักษระของประชากรเป้าหมาย สิ่งก่อโรค และสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคในงานอภิบาลอาหาร การศึกษาในลักษณะนี้ อาจเทียบได้กับการวิเคราะห์ความเสี่ยง
2 . การทดสอบสมมติฐานเกี่ยวกับปัจจัยก่อโรค (Causal hypothesis testing) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดและการแพร่กระจายของโรค ในงานอภิบาลอาหาร การศึกษาลักษระนี้อาจเทียบได้กับการหาจุดควบคุมความเสี่ยง
2. การศึกษาระบาดวิทยาเชิงปริมาณ (Quantitative investigation)
1 . การสำรวจ (Survey) มีวัตถุประสงค์เพื่อประมาณความชุกของโรคและความชุกของปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ในประชากร โดยการวัดสัดส่วนของประชากรที่ป่วยและประชากรที่สัมผัสปัจจัยเสี่ยง ร เวลาหนี่ง เพียงครั้งเดียว เรียกอีกอย่างว่า การศึกษาแบบ Cross sectional หรือการศึกษาความชุก (Prevalence study)
2 . การเฝ้าระวัง (Surveillance and monitoring) มีวัตถุประสงค์ เพื่อติดตามการเกิดและการแพร่กระจายของโรคและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ในประชากร เป้าหมายอีกนัยหนึ่งคือ การประมาณอุบัติการณ์ ของโรคและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ในประชากร เป้าหมาย อีกนัยหนึ่งคือ การประมาณอุบัติการณ์ของโรคในช่วงเวลาที่ทำการเฝ้าระวัง ทั้งนี้ อาจทำการเฝ้าระวังไปเรื่อยๆ โดยไม่มีจุดสิ้นสุด การเฝ้าระวังนี้ นอกจากจะทราบข้อมูลเชิงปริมาณ ของการเกิดโรคแล้ว ยังสามารถใช้ยืนยันการปลอดจากโรคซึ่งหมายถึงการไม่พบโรคได้อีก
3 . การศึกษาทางระบาดวิทยา(Epidemiological study) มีวัตถุประสงค์เพื่อประมาณระดับความสัมพันธ์ ระหว่างปัจจัยเสี่ยงต่างๆ กับการเกิดโรค หรือ ประมาณความเสี่ยงของการเกิดโรคในสถานการณ์ต่างๆ การศึกษาทางระบาดวิทยานี้ มีการใช้เทคนิคทางสถิติช่วยในการประมาณความน่าจะเป็น ต่างๆ และอาจเป็นการศึกษาด้วยการสังเกต หรือการศึกษาทดลอง
4 . การสร้างแบบจำลอง(modeling) มีวัตถุประสงค์เพื่อทำนายการเกิดและการแพร่กระจายของโรคในสภาพแวดล้อมของปัจจัยเสี่ยงต่างๆ สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ หรือ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ และ สังคม การสร้างแบบจำลองนี้ จะใช้เทคนิคทางคณิตศาตร์ช่วยในการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ในการคำนวณความน่าจะเป็นของการเกิดโรคในประชากรต่างๆ
5 . การควบคุมโรค(Disease control) มีวัตถุประสงค์ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของมาตรการป้องกันและควบคุม โรค โดยการประมาณจำนวนสัตว์ที่มีความเสี่ยงที่อาจไม่ป่วยเนื่องจาก มาตรการดังกล่าว ตลอดจนศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของมาตรการควบคุมและป้องกัน โดยการประมาณผลตอบแทนของมาตรการต่างๆ และการสูยเสียเนื่องจากการเกิดโรคในประชากร
การศึกษาระบาดวิทยา
การศึกษาระบาดวิทยาของปัญหาใดๆ ก็ตาม สามารถแบ่งได้เป็น 4 ลักษณะ
1. การศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนา
(Descriptive Epidemiology)
2. การศึกษาระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์
(Analytical Epidemiology)
3. การศึกษาระบาดวิทยาเชิงทดลอง
(Experimental Epidemiology)
4.การศึกษาทฤษฎีทางระบาดวิทยา
(Theoretical Epidemiology)
1. การศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนา
2. การศึกษาระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์
(Outcome หรือ Disease) และปัจจัยที่สงสัยว่าจะเป็นสาเหตุของโรคหรือปัญหา (Exposure) เป็นการพิสูจน์ยืนยันให้ชัดเจนว่า ปัจจัยที่สงสัยนั้น เป็นสาเหตุของการเกิดโรคนั้นๆหรือไม่ การศึกษานี้จึงมีจุดประสงค์เพื่ออธิบายถึงสาเหตุ (Determinant) ของการเกิดโรค ซึ่งในการศึกษาชนิดนี้สามารถทำการศึกษาได้ทั้งแบบย้อนหลัง ระยะสั้น หรือแบบไปข้างหน้า รูปแบบวิธีการมักจะมีกลุ่มประชากรศึกษาเปรียบเทียบหรืออ้างอิง โดยจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการพิจารณาเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง ความไว ความลำเอียง ความผิดพลาดหรืออคติชนิดต่างๆด้วย
3. การศึกษาระบาดวิทยาเชิงทดลอง
4.การศึกษาทฤษฎีทางระบาดวิทยา
ซึ่งทำนายการระบาดในวงกว้างหากไม่ทำการกำจัดสัตว์ป่วยอย่างรวดเร็ว อันเป็นที่มาของมาตรการทำลายสัตว์ป่วยภายใน 24 ชั่วโมง ของการตรวจพบเพื่อควบคุมโรค เป็นต้น
งานระบาดวิทยากับงานสัตวแพทย์
1.งานบริการสุขภาพสัตว์รายตัว
2.งานจัดการสุขภาพฝูงสัตว์
3.งานสัตวแพทย์สาธารณสุข
วิธีการพื้นฐาน Basic approch
1 .ศึกษารวบรวมข้อเท็จจริง
2. การตั้งสมมติฐาน
3. การวิเคราะห์สมมติฐาน
4. การทดลองเพื่อทดสอบสมมติฐาน
5. วิธีวิทยาการระบาดเชิงทฤษฎี
1 . ศึกษารวบรวมข้อเท็จจริง
เวลา พิจารณารายละเอียดในเรื่อง เวลาที่เกี่ยวข้องกับปี ฤดูกาล เดือน วัน หรือบางเรื่องอาจศึกษาถึงระดับชั่วโมง เช่น การศึกษาเกี่ยวกับอาหารเป็นพิษ ซึ่งจากการศึกษาเรื่องเวลา จะทำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับอิทธิพลของฤดูกาล ระยะฟักตัวของโรค เป็นต้น
สถานที่ การกระจายของโรค ตามสภาพทางภูมิศาสตร์ จะมีความเกี่ยวข้อง กับสภาพทาง นิเวศน์วิทยา การขาดสารอาหาร การมีพาหะนำโรคต่างๆ โรคที่เกี่ยวข้อง กับการประกอบอาชีพ
ประชากร ปัจจัยต่างๆ เกี่ยวกับประชากร เช่น ชนิดสัตว์ พันธุ์สัตว์ เป็นปัจจัยที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบในการศึกษาเกี่ยวกับโรค
2 . การตั้งสมมติฐาน
2.1 วิธีใช้ความแตกต่าง (Method of difference)
2.2 วิธีการใช้ความเหมือนกัน(Method of agreement)
2.3 วิธีใช้ความผันแปรไปด้วยกัน (Method of concomitant variation )
2.4 วิธีเปรียบเทียบกับความรู้ที่มีอยู่ (Method of analogy)
2.1 วิธีใช้ความแตกต่าง (method of difference)
ถ้าความถี่ของการเกิดโรคมีความแตกต่างกันภายใต้สถานการณ์ 2 แบบ ที่แตกต่างกัน อาจจะบ่งชี้ถึงสาเหตุของการเกิดโรค ซึ่งเมื่อมีการเปรียบเทียบ 2 สถานการณ์ ที่แตกต่างกันแล้ว อาจพบปัจจัยที่มีความแตกต่างกันมากที่สุด การศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการเกิด ในสุกร แอฟริกา กับสุกรไทย อาจมีหลายปัจจัยมากเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่การพบว่ามีความชุก ของโรค mannosidosis ในโคพันธุ์ แองกัส ในขณะที่ไม่พบโรคนี้โคพันธุ์ อื่นๆ แสดงว่า ปัจจัยทางพันธุกรรม มีผลต่อโรค
2.2 วิธีการใช้ความเหมือนกัน(Method of agreement)
ยกตัวอย่าง การตั้งสมมติฐานโดยใช้วิธีการนี้ เช่น การพบว่าการมีการเกิดโรค Salmonellosis ในอัตราใกล้เคียงกันในสุกรที่มีการเสี่ยงในรูปแบบต่างๆ ที่มีปัจจัยหลายๆอย่าง แตกต่างกัน มีเพียงปัจจัยเดียวที่เหมือนกันคือ การใช้ อาหารที่ผสมกระดูกป่น จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้เราตั้งสมมติฐาน ได้ว่า การให้อาหารที่ผสมกระดูกป่นจากข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้เราตั้งสมมติฐาน ได้ว่า การให้อาหารที่ผสมกระดูกป่น มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค Salmonellosis
2.3 วิธีใช้ความผันแปรไปด้วยกัน (Method of concomitant variation )
วิธีนี้เป็นการตั้งสมมติฐาน โดยใช้ความเข้ม หรือ ความถี่ของปัจจัยที่มีความแตกต่างกันแล้ว มีผลให้ความถี่ของการเกิดโรคแตกต่างกัน เช่น ประชากรสัตว์ 2 กลุ่ม ที่ดื่มน้ำที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรคต่างกัน จะทำให้ มีความถี่ของการป่วย แตกต่างกัน
2.4 วิธีเปรียบเทียบกับความรู้ที่มีอยู่ (Method of analogy)
วิธีนี้ใช้การเปรียบเทียบรูปแบบของการเกิดโรค..โรคหนึ่ง ที่เรายังไม่ทราบแน่ชัด กับ อีกโรคหนึ่งที่เรามีความรู้ ความเข้าใจ อย่างชัดเจนแล้ว ถึงแม้วิธีการนี้จะมีข้อผิดพลาด ทำให้เราเข้าใจในบางเรื่องผิด แต่ก็เป็นวิธีการที่มีประโยชน์ ประหยัดเวลาในการศึกษา
3.การวิเคราะห์สมมติฐาน
โดยการวิเคราะห์ แบบย้อนหลัง (Retrospective) หรือปกติมักใช้วิธี Case control หรือ วิเคราะห์ แบบมองไปข้างหน้า (Prospectiveหรือ Cohort)
4 . การทดสอบสมมติฐานโดยการทดลอง
ในทางสัตวแพทย์ ทำได้ง่ายกว่าการทดลองในคนมาก และโดยทั่วไปแล้วการทดสอบสมมติฐานโดยการทดลองนี้ เป็นวิธีการขั้นสุดท้าย ที่ใช้ในการทดสอบ เพื่อความแน่ใจว่าสมมติฐานดังกล่าวถูกต้องหรือไม่
5. วิธีวิทยาการระบาดเชิงทฤษฎี
เช่น การสร้างแบบจำลอง การวิเคราะห์โดยคอมพิวเตอร์ การวิเคราะห์ระบบ เป็นต้น
พี่เก่งน่ารัก
พี่โตโน่
น้องมุกรักพี่เก่ง
นองมุกรักพี่โตโน่