แสงเทียนส่องทาง..จาก..หลวงพ่อชา ( 1 )


ไม่มีใครไม่รู้จัก หลวงพ่อชา  สุภัทโท  โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สนใจปฎิบัติสมาธิภาวนาทั้งหลาย  หลักธรรมคำสอนของหลวงพ่อเ้ป็นหลักธรรมที่ตรงใจ และโดนใจอย่างมากสำหรับใครหลายๆคนเลยทีเดียว  แม้ท่านจะละสังขารไปแล้ว แต่หลักธรรมคำสอนของหลวงพ่อ ก็ยังคงอยู่ และช่วยเป็นเทียนส่องทาง  สำหรับผู้ปฎิบัติสมาธิภาวนาทั้งหลายได้เป็นอย่างดี

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา  ข้าพเจ้าได้หยิบยืมซีดีธรรมะของหลวงพ่อชา ( ที่จัดทำขึ้นโดยชมรมกัลยาณธรรม) จากกัลยาณมิตรผู้อาวุโสของกลุ่มสังฆะเราท่านหนึ่งมาฟัง  หลังจากได้ฟังเพียงบทแรก  บทที่ชื่อว่า แนวการปฎิบัติธรรม  ข้าพเจ้าก็ถึงกับมีอาการปลื้มปิติจนถึงขนาดน้ำตาซึมออกมา  ด้วยเพราะหลักธรรมคำสอนของหลวงพ่อที่บอกเล่า และตอบคำถามข้อสงสัยในเรื่องการปฎิบัติธรรมแก่ลูกศิษย์ชาวฝรั่งของท่านนั้น   ช่างงดงามและเต็มเปี่ยมไปด้วยข้อคิดเตือนใจอย่างสูงสุด  ข้าพเจ้าเห็นว่า เราผู้สนใจในการปฎิบัติธรรมทั้งหลาย ควรต้องน้อมนำมาปฎิบัติและใช้เป็นเทียนส่องทางเมื่อเราก้าวเดินไปบนเส้นทางสายนี้แล้วพบความมืดมน  พบปัญหาหรือ พบอุปสรรคในการปฎิบัติ   

นี่คือบันทึกการถามตอบ เกี่ยวกับเรื่องการปฎิบัติสมาธิภาวนา ระหว่างหลวงพ่อชา และลูกศิษย์ของท่าน 

.................................................................................................................................

แนวทางการปฏิบัติธรรม
พระโพธิญาณเถร
( หลวงปู่ชา สุภัทโท )



พระสุญฺโญฺภิกขุ พระภิกษุชาวอเมริกัน จดบันทึกเป็นภาษาอังกฤษเมื่อลาสิกขาแล้ว ท่านได้พิมพ์
เผยแผ่เป็นธรรมทาน  ต่อมามีผู้แปลเป็นภาษาไทย และหลวงพ่อชาให้พระวีรพล เตชปญฺโญ
แห่งวัดหนองป่าพงสอบทาน แล้วจึงได้พิมพ์ภาษาไทย

 

๑. ผมได้พากเพียรอย่างหนักในการปฏิบัติกรรมฐาน แต่ยังไม่มีที่ท่าว่าจะได้ผลคืบหน้าเลย

เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าพยายามที่จะเอาอะไรๆในการปฏิบัติ  ความอยากอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้นจะเป็นความอยากที่ขวางกั้นท่านก็ได้   จะเร่งความเพียรทั้งกลางคืนกลางวันก็ได้  แต่ถ้าการฝึกปฏิบัตินั้นยังประกอบด้วยความที่อยากจะบรรลุเห็นแจ้งแล้ว  ท่านจะพบความสงบไม่ได้เลย   แรงอยากจะเป็นเหตุให้เกิดความสงสัยและความกระวนกระวายใจ  ไม่ว่าท่านจะฝึกปฏิบัตินานเท่าใดหรือนานสักเพียงใด ปัญญา (ที่แท้) จะไม่เกิดขึ้นจากความอยากนั้น    ดังนั้นจงเพียงแต่ละความอยากเสีย  จงเฝ้าดูจิตและกายอย่างมีสติแต่อย่ามุ่งหวังที่จะบรรลุถึงอะไร   อย่ายึดมั่นถือมั่นแม้ในเรื่องการฝึกปฏิบัติหรือในการรู้แจ้ง

๒. เรื่องการหลับนอนล่ะครับ ผมควรจะนอนมากน้อยเพียงใด

อย่าถามผมเลย ผมตอบให้ท่านไม่ได้  บางคนหลับนอนคืนละประมาณ ๔ ชั่วโมงก็พอ   อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญก็คือ ท่านเฝ้าดูและรู้จักตัวของท่านเอง  ถ้าท่านนอนน้อยจนเกินไป   จิตก็จะตื้อเฉื่อยชาหรือซัดส่าย   จงหาสภาวะที่พอเหมาะกับตัวท่านเอง   ตั้งใจเฝ้าดูกายและจิตจนท่านรู้ระยะเวลาที่นอนหลับที่พอเหมาะสำหรับท่าน   ถ้าท่านรู้สึกตื่นแล้ว และยังซุกตัวของีบต่อไปอีก นี่เป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมอง    จงมีสติรู้ตัวทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้น


๓. เรื่องการขบฉันล่ะครับ  ผมควรจะฉันอาหาร มากน้อยเพียงใด

การขบฉันก็เหมือนกับการหลับนอน  ท่านต้องรู้จักตัวของท่านเอง  อาหารต้องบริโภคให้เพียงพอตามความต้องการของ ร่างกาย   จงมองอาหารเหมือนยารักษาโรค    ท่านฉันมากเกินไปจะง่วงนอนหลังฉันอาหารหรือเปล่า   และท่านอ้วนขึ้นทุกวัน หรือเปล่า   จงหยุดแล้วสำรวจกายและจิตของท่านเอง  ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร   จงทดลองฉันอาหารตามปริมาณมากน้อยต่างๆ  หาปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกายของท่าน    ใส่อาหารที่จะฉันทั้งหมดลงในบาตรแบบธุดงควัตร แล้วท่านจะกะปริมาณ อาหารที่จะฉันได้ง่าย    เฝ้าดูตัวท่านเองอย่างถี่ถ้วน ขณะที่ฉันจงรู้จักตัวเอง  สาระสำคัญของการฝึกปฏิบัติของเราเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรพิเศษที่ต้องทำมากกว่านี้  จงเฝ้าดูเท่านั้น สำรวจท่านเอง เฝ้าดูจิต แล้วท่านจะรู้ว่า อะไรคือสภาวะที่พอเหมาะสำหรับการฝึกปฏิบัติของท่าน

๔. จิตของชาวเอเชียและตะวันตกแตกต่างกันหรือไม่ครับ

โดยพื้นฐานแล้วไม่แตกต่างกัน   ดูจากภายนอกขนบธรรมเนียมประเพณีและภาษาที่ใช้อาจดูต่างกัน   แต่จิตของมนุษย์นั้นเป็นธรรมชาติซึ่งเหมือนกันหมด ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ความโลภและความเกลียดก็มีเหมือนกัน  ทั้งในจิตของชาวตะวันออกหรือชาวตะวันตก    ความทุกข์และความดับทุกข์ก็เหมือนกันทุกๆคน 


 ๕. เราควรอ่านตำรามากๆ หรือศึกษาพระไตรปิฏกด้วยหรือไม่ครับ ในการฝึกปฏิบัตินี่

พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้น   ไม่อาจค้นพบได้ด้วยตำราต่างๆ   ถ้าท่านต้องการจะรู้เห็นจริงด้วยตัวของท่านเองว่าพระพุทธเจ้าทรง ตรัสสอนอะไร   ท่านไม่จำเป็นต้องวุ่นวายกับตำราเลย   จงเฝ้าดูจิตของท่านเอง  พิจารณาให้รู้เห็นว่า ความรู้สึกต่างๆ (เวทนา) เกิดขึ้น และดับไปได้อย่างไร  ความนึกคิดเกิดขึ้นและดับอย่างไร   อย่าได้ผูกพันอยู่กับสิ่งใดเลย   จงมีสติอยู่เสมอ เมื่อมีอะไรๆเกิดขึ้นให้ได้รู้ได้ เห็น  นี่คือทางบรรลุถึงสัจธรรมของพระพุทธองค์   จงปฏิบัติธรรมดาตามธรรมชาติ  ทุกสิ่งทุกอยางที่ท่านทำขณะอยู่ที่นี่  เป็นโอกาสแห่งการฝึกปฏิบัติ  เป็นธรรมะทั้งหมด  เมื่อท่านทำวัตรสวดมนต์อยู่ พยายามให้มีสติ   ถ้าท่านกำลังเทกระโถนหรือล้างส้วมอยู่ อย่าคิดว่า ท่านกำลังทำบุญทำคุณให้กับผู้หนึ่งผู้ใด มีธรรมะอยู่ในการเทกระโถนนั้น   อย่ารู้สึกว่าท่านกำลังฝึกปฏิบัติอยู่เฉพาะเวลานั่งขัดสมาธิเท่านั้น    พวกท่านบางคนบ่นว่าไม่มีเวลาพอที่จะทำสมาธิภาวนา  แล้วเวลาหายใจเล่ามีเพียงพอไหม?  การทำสมาธิภาวนาของท่าน คือการมีสติ ระลึกรู้ และการรักษาจิตให้เป็นปกติตามธรรมชาติในการกระทำทุกอิริยาบถ



๖. ทำไมพวกเราจึงไม่มีการสอบอารมณ์กับอาจารย์ทุกวันเล่าครับ


ถ้าท่านมีคำถาม เชิญมาถามได้ทุกเวลา  แต่ที่นี่เราไม่จำเป็นจะต้องมีการสอบอารมณ์กันทุกวัน ถ้าผมตอบปัญหาเล็กๆน้อยๆทุกปัญหา ของท่าน  ท่านก็จะไม่มีทางรู้เท่าทันกับการเกิดดับของความสงสัยในใจของท่าน    เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่าน ต้องเรียนรู้ที่จะสำรวจตัวท่านเอง  สอบถามตัวท่านเอง  จงตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาทุกๆครั้งแล้วจงนำเอาคำสอนนี้ ไปเปรียบเทียบกับการฝึกปฏิบัติของท่านเองว่าเหมือนกันหรือไม่ ต่างกันหรือไม่  ทำไมท่านจึงมีความสงสัยอยู่  ใครคือผู้ที่สงสัยนั้น  โดยการสำรวจตัวเองเท่านั้นจะทำให้ท่านเข้าใจได้

 


๗. บางครั้งผมกังวลใจอยู่กับพระวินัยของพระสงฆ์ ถ้าผมฆ่าแมลงโดยบังเอิญแล้ว จะผิดไหมครับ

ศีลหรือพระวินัยและศีลธรรม  เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการฝึกปฏิบัติของเรา  แต่ท่านต้องไม่ยึดมั่นถือมั่นในกฏเกณฑ์ต่างๆ อย่างงมงาย ในการฆ่าสัตว์ หรือการละเมิดข้อห้ามอื่นๆนั้น  มันสำคัญที่เจตนา ท่านย่อมรู้แก่ใจของท่านเอง อย่าได้กังวลกับเรื่องพระวินัยให้มากจนเกินไป   ถ้านำมาปฏิบัติอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยส่งเสริมการปฏิบัติ   และพระภิกษุบางรูปกังวลกับกฎเกณฑ์เล็กๆน้อยๆ มากเกินไปจนนอนไม่เป็นสุข    พระวินัยไม่ใช่ภาระที่ต้องแบก ในการปฎิบัติของเราที่นี่มีรากฐานคือพระวินัย พระวินัยรวมทั้งธุดงควัตรและการปฎิบัติภาวนา การมีสติและการสำรวมระวังในกฏระเบียบต่างๆ ตลอดจนในศีล ๒๒๗ ข้อนั้น ให้คุณประโยชน์อันใหญ่หลวง   ทำให้มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่ต้องพะวงว่าจะต้องทำตนอย่างไร ดังนั้นท่านก็หมดเรื่องต้องครุ่นคิด และมีสติดำรงอยู่แทน   พระวินัยทำให้พวกเราอยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืน และชุมชนก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ลักษณะภายนอกทุกๆคนดูเหมือนกัน และปฏิบัติอย่างเดียวกัน พระวินัยและศีลธรรม เป็นบันไดอันแข็งแกร่งนำไปสู่สมาธิยิ่งและปัญญายิ่ง  โดยการปฏิบัติอย่างถูกต้องตามพระวินัยของพระสงฆ์และธุดงควัตร  ทำให้เรามีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ และต้องจำกัดจำนวน บริขารของเราด้วย   ดังนั้นที่นี้เราจึงควรมีการปฏิบัติที่ครบถ้วนตามแบบของพระพุทธเจ้า คือ การงดเว้นจากความชั่วและทำความดี มีความ เป็นอยู่อย่างง่ายๆ ตามความจำเป็นขั้นพื้นฐาน ชำระจิตให้บริสุทธิ์ โดยการเฝ้าดูจิตและกายของเราในทุกๆอิริยาบท  เมื่อนั่งอยู่  ยืนอยู่  เดินอยู่ หรือนอนอยู่ จงรู้ตัวของท่านเอง
 


๘. ผมควรจะทำอย่างไรครับเมื่อผมสงสัย บางวันผมวุ่นวายใจด้วยความสงสัยในเรื่องปฏิบัติ หรือในความคืบหน้าของผม หรือในอาจารย์

ความสงสัยนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา  ทุกๆคนเริ่มต้นด้วยความสงสัย  ท่านอาจได้เรียนรู้อย่างมากจากความสงสัยนั้น   ที่สำคัญก็คือ  ท่านอย่าถือเอาความสงสัยนั้นเป็นตัวเป็นตน นั่นคืออย่าตกเป็นเหยื่อของความสงสัย ซึ่งจะทำให้จิตใจของท่านหมุนวนเป็นวัฏฏะ อันไม่มีที่สิ้นสุด   แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จงเฝ้าดูกระบวนการเกิดดับของความสงสัย ของความฉงนสนเท่ห์ ดูว่าใครคือผู้ที่สงสัย  ดูว่าความสงสัยนั้นเกิดขึ้นและ ดับไปอย่างไร   และท่านจะไม่ตกเป็นเหยื่อของความสงสัยอีกต่อไป  ท่านจะหลุดพ้นออกจากความสงสัยและจิตของท่านก็จะสงบ   ท่านจะเห็นว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร  จงปล่อยวางสิ่งต่างๆที่ท่านยังยึดมั่นอยู่ ปล่อยวางความสงสัยของท่านและเพียงแต่เฝ้าดู นี่คือสิ่งที่สิ้นสุดของความสงสัย

 

๙. ท่านอาจารย์มีความเห็นเกี่ยวแก่วิธีปฏิบัติ(วิธีภาวนา)วิธีอื่นๆอย่างไรครับ ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าจะมีอาจารย์มากมาย และมีหลายแนวทางการทำสมาธิ

วิปัสสนาหลายแบบ จนทำให้สับสน มันก็เหมือนกับการจะเข้าไปในเมือง บางคนอาจจะเข้าเมืองทางทิศเหนือ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ทางถนนหลายสาย  โดยมากแล้วแนวทางภาวนาก็แตกต่างกันแต่เพียงรูปแบบเท่านั้น  ไม่ว่าท่านจะเดินทางสายหนึ่งสายใด  เดินช้าหรือเดินเร็ว ถ้าท่านมีสติอยู่เสมอ มันก็เหมือนกันทั้งนั้น  ข้อสำคัญที่สุดก็คือแนวทางภาวนาที่ดีและถูกต้องจะต้องนำไปสู่การไม่ยึดมั่นถือมั่น ลงท้ายแล้ว  ก็ต้องปล่อยแนวทางการภาวนาทุกรูปแบบด้วย  ผู้ปฏิบัติต้องไม่ยึดมั่นแม้ในตัวอาจารย์  แนวทางใดที่นำไปสู่การปล่อยวาง สู่การไม่ยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง  ท่านอาจจะอยากเดินทางเพื่อศึกษาอาจารย์อื่นอีก  และลองปฏิบัติตามแนวทางอื่นบ้างก็ได้ พวกท่านบางคนก็ทำเช่นนั้น นี้เป็นความต้องการ ตามธรรมชาติ ท่านจะรู้ว่าแม้ได้ถามคำถามนับพันคำถามก็แล้ว และมีความรู้เรื่องแนวทางปฏิบัติอื่นๆก็แล้ว  ก็ไม่อาจจะนำท่านเข้าถึงสัจจะธรรมได้  ในที่สุดท่านก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย  ท่านจะรู้ว่าเพียงแต่หยุด และสำรวจตรวจสอบดูจิตใจของท่านเองเท่านั้น   ท่านก็จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนอะไร ไม่มีประโยชน์ที่แสวงหาออกไปนอกตัวเอง  ผลที่สุดท่านต้องหันกลับมาเผชิญหน้ากับสภาวะที่แท้จริงของตัวท่านเอง ตรงนี้แหละที่ท่านจะเข้าใจ ธรรมะได้

 


๑๐. มีหลายครั้งหลายหนที่ดูเหมือนว่าพระหลายรูปที่นี่ไม่ฝึกปฏิบัติ ดูท่านไม่ใส่ใจธรรม หรือขาดสติ เรื่องนี้กวนใจผม

มันไม่ถูกต้องที่จะคอยจับตาดูผู้อื่น  นี้ไม่ช่วยการฝึกปฏิบัติของท่านเลย  ถ้าท่านรำคาญใจก็จงเฝ้าดูความรำคาญในใจของท่านเลย ถ้าศีลของผู้อื่นบกพร่อง หรือเขาเหล่านั้นไม่ใช่พระที่ดี ก็ไม่ใช่เรื่องของท่านที่จะไปตัดสิน  ท่านจะไม่เกิดปัญญาจาก การจับตาดูผู้อื่น  พระวินัยเป็นเครื่องช่วยในการทำสมาธิภาวนาของท่าน ไม่ใช่อาวุธสำหรับใช้ติเตียนหรือจับผิดผู้อื่น  ไม่มีใครสามารถฝึกปฏิบัติให้ท่านได้  หรือท่านก็ไม่สามารถปฏิบัติให้ผู้อื่นได้  จงมีสติใส่ใจในการฝึกปฏิบัติของตัวท่านเอง และนี่คือแนวทางของการปฏิบัติ

 


๑๑. ผมระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะสำรวมอินทรีย์ ผมทอดสายตาลงต่ำเสมอ และกำหนดสติอยู่กับการกระทำทุกอย่าง แม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นขณะที่กำลังฉันอาหารอยู่ ผมใช้เวลานานและพยายามรู้สัมผัสทุกอย่าง เป็นต้นว่า เคี้ยวรู้รส กลืน ฯลฯ ผมกำหนดรู้ด้วยความตั้งใจทุกขั้นตอนและระมัดระวัง ผมปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ครับ

การสำรวมอินทรีย์นั้นเป็นการปฏิบัติถูกต้องแล้ว  เราจะต้องมีสติในการฝึกเช่นนั้นตลอดทั้งวัน  แต่อย่าควบคุมให้มากเกินไป เดิน ฉัน และปฏิบัติตนให้เป็นธรรมชาติ  ให้มีสติระลึกรู้ตามธรรมชาติ ถึงสิ่งที่กำลังเป็นไปในตัวท่าน  อย่าบีบบังคับการทำสมาธิภาวนาของท่าน และอย่าบีบบังคับตนเองไปจนดูน่าขัน  ซึ่งก็เป็นตัณหาอีกอย่างหนึ่ง จงอดทน  ความอดทนและความทนได้เป็นสิ่งจำเป็น  ถ้าท่านปฏิบัติตนเป็นปกติตามธรรมชาติ และมีสติระลึกรู้อยู่เสมอปัญญาที่แท้จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติด้วย


๑๒. จำเป็นไหมครับที่จะต้องนั่งภาวนาให้นานๆ


ไม่จำเป็นต้องนั่งภาวนานานนับเป็นหลายชั่วโมง   บางคนคิดว่ายิ่งนั่งภาวนานานเท่าใด ก็ยิ่งจะเกิดปัญญามากเท่านั้น    ปัญญาที่แท้เกิดจากการที่เรามีสติในทุกๆอิริยาบท    การฝึกปฏิบัติของท่านต้องเริมขึ้นทันทีที่ท่านตื่นนอนตอนเช้า และต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องไปจนกระทั่งนอนหลับไปอย่าไปห่วงว่าท่านต้องนั่งภาวนาให้นานๆ  สิ่งสำคัญก็คือ  ท่านเพียงแต่เฝ้าดู ไม่ว่าท่านจะเดินอยู่หรือนั่งอยู่ หรือกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ แต่ละคนต่างก็มีทางชีวิตของตนเอง  บางคนต้องตาย เมื่อมีอายุ ๕๐ ปี บางคนเมื่ออายุ ๖๕ ปี และบางคนเมื่ออายุ ๙๐ ปี ฉันใดก็ฉันนั้น  ปฏิปทาของท่านทั้งหลายก็ไม่เหมือนกัน  อย่าคิดมากหรือกังวลใจในเรื่องนี้เลย จงพยายามมีสติ และปล่อยทุกสิ่งให้เป็นไปตามปกติของมัน แล้วจิตของท่านก็จะสงบมากขึ้นในสิ่งแวดล้อมทั้งปวง มันจะสงบนิ่งเหมือนหนองน้ำใสในป่าที่บรรดาสัตว์ป่าสวยงาม และหายากจะมาดื่มน้ำในสระนั้น   ท่านจะได้เห็นความมหัศจรรย์และแปลกประหลาดทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไป   แต่ท่านก็จะสงบอยู่เช่นเดิม ปัญหาทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นแต่ท่านจะรู้ทันมันได้ทันที นี่แหละคือศานติสุขของพระพุทธเจ้า

 



๑๓. ผมยังคงมีความนึกคิดต่างๆมากมาย จิตของผมฟุ้งซ่านมากทั้งๆที่ผมพยายามจะมีสติอยู่

 


อย่าวิตกในเรื่องนี้เลย  พยายามรักษาจิตของท่านให้อยู่กับปัจจุบัน  เมื่อเกิดรู้สึกอะไรขึ้นมาภายในจิตก็ตาม จงเฝ้าดูมันและปล่อยวาง  แล้วจิตก็จะเข้าถึงสภาวะปกติตามธรรมชาติของมัน  ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างความดีและความชั่ว ร้อนและหนาว ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีตัวตนเลย  อะไรอะไรก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น  จงรู้จักตัวเองด้วยการปฏิบัติตนเป็นปกติตามธรรมชาติ และเฝ้าดู เมื่อเกิดความสงสัยจงเฝ้าดูมันเกิดขึ้นและดับไป   มันก็ง่ายๆอย่ายึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดทั้งสิ้น เหมือนกับว่าท่านกำลังเดินไปตามถนน  บางขณะท่านจะพบสิ่งกีดขวางอยู่ เมื่อท่านเกิดกิเลสเครื่องเศร้าหมองจงรู้ทันมันและเอาชนะมันโดยปล่อยให้มันผ่านไปเสีย   อย่าไปคำนึงถึงสิ่งกีดขวางที่ท่านได้ผ่านมาแล้ว  และอย่าวิตกกังวลกับสิ่งที่ยังไม่ได้พบ  จงอยู่กับปัจจุบัน ไม่ว่าท่านผ่านอะไรไปอย่าไปยึดมั่นไว้ ในที่สุดจิตก็จะบรรลุถึงความสมดุล ตามธรรมชาติของจิตและเมื่อนั้นการปฏิบัติก็จะเป็นเองโดยอัตโนมัติ  ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นและดับไปในตัวของมันเอง

 


 ๑๔. ท่านอาจารย์เคยพิจารณา "สูตรของเว่ยหลาง" ของพระสังฆปรินายก (นิกายเซ็น) องค์ที่หกบ้างไหมครับ (ท่านเว่ยหลางหรือท่านฮุยเหนิง)


ท่านฮุยเหนิงมีปัญญาเฉียบแหลมมาก  คำสอนของท่านลึกซึ้งยิ่งนักไม่ใช่ของง่ายที่ผู้เริ่มต้นปฏิบัติจะเข้าใจได้   ถ้าท่านปฏิบัติตามศีลและด้วยความอดทนท่านก็จะเข้าใจได้ในที่สุด 

จากนั้นหลวงพ่อเล่าถึงพระลูกวัดรูปหนึ่งที่พายุพัดหลังคากุฎิไปจนโหว่ แต่พระรูปนั้นกลับไม่ขวนขวายที่จะมุงมันใหม่ จึงปล่อยให้ฝนรั่วอยู่อย่างนั้นหลายวันผ่านไป

"ผมได้ไปถามถึงกุฏิของเขา เขาตอบว่า กำลังฝึกการไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่เป็นการไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยไม่ใช้หัวสมอง "

ถ้าท่านมีความเป็นอยู่ดี และเป็นอยู่ง่ายๆ  ถ้าท่านอดทนและไม่เห็นแก่ตัว  ท่านก็จะเข้าใจถึงปัญญาของท่านฮุยเหนิงได้



 ๑๖. ในการปฏิบัติของเราจำเป็นที่จะต้องเข้าถึงฌานหรือไม่ครับ

ไม่.  ฌานไม่ใช่เรื่องจำเป็น  ท่านต้องฝึกจิตให้มีความสงบและมีอารมณ์เป็นหนึ่ง (เอกัคคตา) อาศัยอันนี้สำรวจตนเองถ้าท่านได้ฌานในขณะฝึกปฏิบัตินี้ก็ใช้ได้เหมือนกัน   แต่อย่าไปติดหลงอยู่ในฌาน  หลายคนชะงักติดอยู่ในฌาน มันทำให้เพลิดเพลินเมื่อไปเล่นกับมัน   ท่านต้องรู้ขอบเขตที่สมควร  ถ้าท่านฉลาดท่านก็จะเห็นประโยชน์และขอบเขตของฌาน

 


 ๑๗. ทำไมเราต้องปฏิบัติตามธุดงควัตรเช่น ฉันอาหารเฉพาะแต่ในบาตรเท่านั้นเล่าครับ

ธุดงควัตรทั้งหลาย ล้วนเป็นเครื่องช่วยให้เราทำลายกิเลสเครื่องเศร้าหมอง   การปฏิบัติตามข้อที่ว่าให้ฉันอาหารแต่ในบาตรทำให้เรามีสติมากขึ้น   ระลึกว่าอาหารนั้นเหมือนยารักษาโรค   ถ้าเราไม่มีกิเลสเครื่องเศร้าหมองแล้วมันก็ไม่สำคัญ ว่าเราจะฉันอย่างไร  แต่เราอาศัยธุดงควัตรทำให้การปฏิบัติของเราเป็นไปอย่างง่ายๆ   พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงบัญญัติธุดงควัตร ไว้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพระภิกษุทุกองค์    แต่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติธุดงควัตรสำหรับพระภิกษุผู้ประสงค์จะปฏิบัติ อย่างเคร่งครัด  ธุดงควัตรเป็นส่วนที่เพิ่มขึ้นมาในศีลเพราะฉะนั้นช่วยเพิ่มความมั่นคงและความเข้มแข็งของจิตใจเรา   ข้อวัตรทั้งหลายเหล่านี้มีไว้ให้ท่านปฏิบัติ   อย่าคอยจับตาดูว่าผู้อื่นปฏิบัติอย่างไร  จงเฝ้าดูจิตของตัวท่านเองและดูว่าอะไรจะเป็นประโยชน์สำหรับท่าน  กฏข้อที่ว่าเราต้องไปอยู่กุฏิ จะกุฏิใดก็ตามที่กำหนดไว้ให้เรา เป็นกฏที่เป็นประโยชน์เช่นเดียวกัน  มันช่วยไม่ให้พระติดที่อยู่  ถ้าผู้ใดจากไปแล้วกลับมาใหม่ก็จะ ต้องไปอยู่กุฏิใหม่  การปฏิบัติของพวกเราเช่นนี้ คือไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด


๑๘. ถ้าหากการใส่อาหารทุกอย่างรวมลงในบาตรเป็นสิ่งจำเป็นแล้ว ทำไมท่านอาจารย์จึงไม่ปฏิบัติด้วยเช่นเดียวกันครับ  ท่านคิดว่าไม่สำคัญหรือครับ ที่ท่านอาจารย์ต้องทำเป็นตัวอย่างแก่ศิษย์

ถูกแล้ว อาจารย์ควรทำเป็นตัวอย่างแก่ศิษย์ของตน  ผมไม่ถือว่าท่านติผม  ท่านซักถามได้ทุกอย่างที่อยากทราบ   แต่ว่ามันก็สำคัญที่ท่านต้องไม่ยึดอยู่กับอาจารย์   ถ้าดูจากภายนอกผมปฏิบัติดีพร้อมหมดก็คงจะแย่มาก พวกท่านทุกคน ก็จะพากันยึดในตัวผมยิ่งขึ้น   แม้พระพุทธเจ้าเอง บางครั้งก็ตรัสให้สาวกปฏิบัติอย่างหนึ่งและพระองค์ก็ปฏิบัติอย่างหนึ่ง  ความไม่แน่ใจในอาจารย์ของท่านก็ช่วยท่านได้   ท่านควรเฝ้าดูเกี่ยวกับปฏิกิริยาของตัวเอง ท่านไม่คิดบางหรือว่า  อาจจะเป็นไปได้ที่ผมแบ่งอาหารจากบาตรใส่จานเพื่อไว้เลี้ยงดูชาวบ้านที่มาช่วยทำงานวัด  ปัญญา คือ สิ่งที่ท่านต้องเฝ้าดูและทำให้เจริญขึ้น  รับเอาแต่สิ่งที่ดีจากอาจารย์ จงรู้เท่าทันการฝึกปฏิบัติของท่านเอง  ถ้าผมพักผ่อนในขณะที่ทุกคนทำความเพียรแล้ว ท่านจะโกรธหรือไม่ ถ้าผมเรียกสีน้ำเงินว่าแดง หรือเรียกผู้ชายว่าผู้หญิง ก็อย่าเรียกตามผมอย่างหลับหูหลับตา  อาจารย์องค์หนึ่งของผมฉันอาหารเร็วมากและฉันเสียงดัง  แต่ท่านสอนให้พวกเราฉันช้า และฉันอย่างมีสติผมเคยเฝ้าดูท่าน รู้สึกขัดเคืองใจมาก  ผมเป็นทุกข์ แต่ท่านไม่ทุกข์เลย   อย่าเพ่งเล็ง แต่ลักษณะภายนอก   อย่ายึดมั่นถือมั่นในกฎระเบียบและรูปแบบภายนอก  การมองออกไปนอกตัวเป็นการเปรียบเทียบแบ่งเขาแบ่งเรา   ท่านจะไม่พบความสุขโดยวิธีนี้  และท่านจะไม่พบความสงบเลย ถ้าท่านมัวเสียเวลาแสวงหาคนที่ดีพร้อมหรือครูที่ดีพร้อม   พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราดูที่ธรรมะ ที่สัจจธรรม ไม่ใช่คอยจับตาดูผู้อื่น

 

 ๑๙. เราจะเอาชนะกามราคะที่เกิดขึ้นระหว่างการฝึกปฏิบัติได้อย่างไรครับ บางครั้งผมรู้สึกเป็นทาสของความต้องการทางเพศ

กามราคะจะบรรเทาลงได้ด้วยการเพ่งพิจารณาถึงความน่าเกลียดโสโครก(อสุภะ)  การยึดติดอยู่กับรูปร่างกายเป็นสุดโต่งข้างหนึ่ง จงพิจารณาร่างกายเหมือนซากศพ และเห็นการเปลี่ยนแปลง เน่าเปื่อย  จำอันนี้ไว้และพิจารณาให้เห็นถึงความน่าเกลียดโสโครกของร่างกาย   เมื่อมีกามราคะเกิดขึ้น ก็จะช่วยให้ท่านเอาชนะกามราคะได้

 


 ๒๐. เช่นเมื่อผมโกรธผมควรทำอย่างไรครับ

ท่านต้องแผ่เมตตา ถ้าท่านมีโทสะในขณะภาวนา ให้แก้ด้วยเมตตาจิต  ถ้าใครทำให้โกรธอย่าโกรธตอบถ้าท่านโกรธตอบท่านจะยิ่งโง่กว่าเขา   จงเป็นคนฉลาดสงสารเห็นใจเขาเพราะว่าเขากำลังได้ทุกข์  เพ่งอารมณ์เมตตาเป็นอารมณ์ภาวนา  แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก เมตตาเท่านั้นที่จะเอาชนะโทสะและความเกลียดได้


๒๑. ผมง่วงเหงาหาวนอนอยู่มากครับทำให้ภาวนาลำบาก

 


มีวิธีเอาชนะความง่วงได้หลายวิธี  ถ้าท่านอยู่ในที่มืดให้ย้ายไปอยู่ที่สว่าง  ลืมตาขึ้น  ลุกไปล้างหน้า ตบหน้าตัวเอง หรือไปอาบน้ำ   ถ้าท่านยังง่วงอยู่อีกให้เปลี่ยนอิริยาบถ เดินจงกรมให้มาก หรือเดินถอยหลัง  ความกลัวว่าจะไปชนอะไรเข้าจะทำให้ท่านหายง่วง   ถ้ายังง่วงอยูอีก ก็จงยืนนิ่งๆทำใจให้สดชื่น  สมมติว่าขณะนั้นสว่างหรือนั่งริมหน้าผาสูงหรือบ่อลึก ท่านจะไม่กล้าหลับ   ถ้าทำอย่างไรก็ไม่หายง่วงก็จงนอนเสีย เอนกายลงอย่างสำรวมและรู้ตัวอยู่จนกระทั่งท่านหลับไป เมื่อท่านรู้สึกตัวจงลุกขึ้นทันทีอย่ามองดูนาฬิกาหรือหลับต่ออีก  เริ่มต้นมีสติระลึกรู้ทันเมื่อท่านตื่น ถ้าท่านง่วงอยู่ทุกวัน ลองฉันอาหารให้น้อยลง  สำรวมตัวเองแล้วกลับไปนั่งดูใหม่อีกเฝ้าดูความง่วงและความหิว ท่านต้องกะฉันอาหารให้พอดี  เมื่อปฏิบัติต่อไปอีกท่านจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น และฉันน้อยลง

 


๒๒. ทำไมเราจึงต้องกราบกันบ่อยๆครับ ที่นี่

การกราบนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก  เป็นรูปแบบซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติ  การกราบนี้ต้องทำให้ถูกต้อง  ก้มลงจนหน้าผากจรดพื้นวางศอกให้ชิดกับเข่า ฝ่ามือทั้งสองราบอยู่ที่พื้นห่างกะประมาณสามนิ้ว  กราบลงช้าๆมีสติรู้อาการของกาย  การกราบช่วยแก้การถือตัวของเราได้เป็นอย่างดี  เราควรกราบบ่อยๆ เมื่อท่านกราบสามหนท่านควรตั้งจิตระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์  นั่นคือคุณลักษณะแห่งจิตอันสะอาด สว่างและสงบ  ดังนั้นเราจึงอาศัยรูปแบบนี้ฝึกฝนตนเอง กายและจิตจะประสานกลมกลืนกัน  อย่าได้หลงผิดไปจับตาดูว่าผู้อื่นกราบอย่างไร ถ้าสามเณรน้อยดูไม่ใส่ใจ และพระผู้เฒ่าดูขาดสติก็ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะตัดสินใจ   บางคนอาจจะสอนยาก บางคนเรียนได้เร็ว บางคนเรียนได้ช้า  การพิจารณาตัดสินผู้อื่นมีแต่จะเพิ่มความหยิ่งทนงตน   จงเฝ้าดูตัวเองกราบบ่อยๆ   ขจัดความหยิ่งทนงตนออกไป  ผู้ที่เข้าถึงธรรมะได้อย่างแท้จริงแล้ว  ท่านจะอยู่เหนือรูปแบบ  ทุกๆอย่างที่ท่านทำ ก็มีแต่การอ่อนน้อมถ่อมตน  เดินก็ถ่อม ฉันก็ถ่อม ขับถ่ายก็ถ่อม ทั้งนี้ก็เพราะว่าท่านพ้นจากความเห็นแก่ตัวเสียแล้ว


 

คำสำคัญ (Tags): #หลวงพ่อชา
หมายเลขบันทึก: 271128เขียนเมื่อ 26 มิถุนายน 2009 00:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:58 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ขอบพระคุณมากครับ

อาจารย์ที่แท้จริง คือ กาย ใจ ของเรา

อย่ายึดติดในการจับผิดคนอื่น จนลืมดูจิตตัวเอง

ธรรมะที่หลวงพ่อถ่ายทอดซาบซึ้งมากครับ

ผมก็ปฏิบัติตามแนวนี้อยู่ครับ

ดูจิต ดูใจแบบธรรมดา ธรรมชาติ

ผมยังมือใหม่อยู่ แต่ก็มีความเพียรตามความเหมาะสมครับ

สวัสดีค่ะคุณ Phornphon

ต้องขอหยิบยืมคำนี้มาใช้ด้วยคนค่ะ  ธรรมะที่หลวงพ่อชาถ่ายทอดมาทั้งหมดนี้ ซาบซึ้งใจจริงๆ  ค่ะ    อันที่จริงตัวเองไม่ได้ถึงกับน้ำตาซึมแบบธรรมดาๆ หรอกค่ะ  แต่ถึงกับนั่งร้องไห้เอาเลยทีเดียวขณะฟังซีดี   ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หรือทำไม เหมือนกัน   อาจเป็นเพราะทุกคำพูดที่ท่านตอบนั้น  คือธรรมะแท้ๆ ที่เข้าถึงจิตใจผู้ปฎิบัติ   และโดนใจมากๆ  ด้วย

สวัสดีอีกครั้งครับ

คิดว่าน่าจะเป็นอาการปีติในธรรมครับ

ผมเคยอ่านหนังสือธรรมะของหลวงพ่อปราโมทย์แล้วอยู่ๆก็ร้องไห้น้ำ้ตาซึมขึ้นมาเฉยๆเหมือนคนที่ไม่เคยเห็นความจริงของชีวิต

จากวันนั้นผมก็มุ่งมั่นเพียรปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 ครับ คอยรู้กาย รู้ใจ

ดีบ้าง เสื่อมบ้างแต่ไม่ท้อครับ

ขอให้เจริญในทางธรรมนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท