อบรมการพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้นำ (Leadership Development Skill)


สิ่งที่ผมจะเล่าในบันทึกต่อไปนี้ จะไม่ขอเน้นถึงเนื้อหาการอบรมว่า อบรมเรื่องอะไรบ้าง แต่ผมจะขอเล่าบรรยากาศการอบรมในวันนั้นและเกร็ดความรู้รอบข้างให้ฟังว่าผมได้อะไรมาบ้าง

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (19 มิถุนายน 2552) ผมได้มีโอกาสเข้าอบรมการพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้นำ (Leadership Development Skill) ที่บริษัท ฯ ได้จัดเป็น Inhouse Training ให้กับพนักงานในระดับผู้จัดการ โดยงานนี้ได้เชิญบุคคลภายนอกบริษัทคือ ดร. ชูวิทย์  รัตนพลแสนย์  หัวหน้าภาควิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์  วิทยาลัยดุสิตธานี  มาทำหน้าที่เป็นวิทยากร โดยใช้เวลาการอบรม 1 วัน ตั้งแต่เวลา 9.00- 16.30 น.

 

สิ่งที่ผมจะเล่าในบันทึกต่อไปนี้ จะไม่ขอเน้นถึงเนื้อหาการอบรมว่า อบรมเรื่องอะไรบ้าง แต่ผมจะขอเล่าบรรยากาศการอบรมในวันนั้นและเกร็ดความรู้รอบข้างให้ฟังว่าผมได้อะไรมาบ้างคือ ลักษณะการสอนของอาจารย์จะเป็นการ บรรยายสลับกับการทำกิจกรรมบ้าง พร้อมยกตัวอย่างให้เห็น  โดยเริ่มแรกเป็นกิจกรรมแนะนำตัว โดยให้แต่ละคนเขียนข้อมูลประสบการณ์ ของแต่ละคนและเล่าให้คนในกลุ่มฟังตามหัวข้อของการแบ่งหน้ากระดาษ A4 ออกเป็น 6 ส่วนดังนี้

1.      ส่วนที่ 1 : ข้อมูลส่วนตัว ชื่อ-สกุล พื้นเพ การศึกษา ประสบการณ์

ข้อมูลประวัติผม ตาม Link นี้ http://gotoknow.org/profile/attawutc

2.      ส่วนที่ 2 : อุปนิสัย/บุคลิกส่วนตัว ความสามารถพิเศษ

บุคลิกส่วนตัวผมจะมีส่วนผสมของอินทรี และกระทิงอยู่ด้วยกันคือ ชอบมองภาพรวม ศึกษาให้แน่ใจก่อนทำ แต่ถ้าได้ทำแล้วจะบุกตะลุยด้วยความมั่นใจ เป็นคนใจร้อนอยากให้งานเสร็จเร็ว แต่ไม่ค่อยโกรธใครง่ายๆ

ความสามารถพิเศษของผมก็คือการขับรถไฟฟ้า แต่ที่ชอบกว่าก็คือการทำอาหารพื้นเมือง ทำกับข้าว กับแกล้ม

3.      ส่วนที่ 3 : ความภูมิใจ ข้อดี/ข้อเสียในตัวเอง

ความภูมิใจของผมคือการที่ได้ใช้ความรู้จากที่เรียนมา นำมาใช้งานได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ วิชาครู การสอน การอบรม การได้รู้จัก Gotoknow การได้เขียน Blog  แต่สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุดคือ ความภูมิใจในรากเหง้าของตนเอง การที่ได้เกิดเป็นคนเมืองเลยที่พ่อและแม่ให้มา ภูมิใจในความเป็นคนบ้านนอก ได้ถ่ายทอดภูมิปัญญาความเป็นบ้านนอกให้ลูกหลาน และคนในเมืองกรุงได้รู้ได้เห็น

4.      ส่วนที่ 4 : เป้าหมายชีวิตการทำงาน และเป้าหมายการดำเนินชีวิตในอนาคต

เป้าหมายชีวิตการทำงานของผม อยากสร้างทีมงาน องค์กรให้เข้มแข็ง ยั่งยืน มีความสุขกับงานที่ทำ

ป้าหมายการดำเนินชีวิตในอนาคต อยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว เป็นครอบครัวที่อบอุ่นตามประสา พ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง กลับไปใช้ชีวิตยังบ้านเกิดเมืองนอน ตามอัตภาพ

5.      ส่วนที่ 5 : คุณสมบัติของหัวหน้างานในอุดมคติ

ในทัศนะของผม หัวหน้างานในอุดมคติ ต้องเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม ใช้หลักธรรมะในการปกครองและร่วมงานกับผู้คนที่เกี่ยวข้อง เช่น ทศพิศราชธรรม พรหมวิหาร 4 สังคหวัตถุ 4 อิทธิบาท 4 เป็นต้น เป็นคนที่ต้องมองโลกได้ ลึก กว้าง ไกล (บางคนเรียกวิสัยทัศน์ แต่ผมหมายความถึงเรื่องความเข้าใจในการมองโลกในมุมมองต่างๆด้วย เช่น การคิดแบบองค์รวม เป็นต้น) มีวิสัยทัศน์และทำวิสัยทัศน์นั้นเป็ฯจริงได้อย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจน กล้าตัดสินใจ ใจถึง พึ่งได้ ผู้นำต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาตามหลัก 5 Discipline ของ Peter Senge คือ มีความเป็นเซียนในตัวเอง (Personal Mastery) มีเป้าหมายการทำงานร่วมกัน (Share Vision) เรียนรู้ไปด้วยกัน (Team Learning) คิดเป็นระบบ (Systemic Thinking) และมีแนวคิดกว้างไกลมีรูปแบบแนวคิดที่ชัดเจน (Mental Model)

6.      ส่วนที่ 6 : คุณสมบัติของเราที่อยากให้ลูกน้องเห็น และกล่าวถึง

สิ่งที่ผมอยากให้ลูกน้องมองเรากลับมาคือ อยากให้เขามีความศรัทธา เชื่อมั่น สามารถพึ่งพาและไว้วางใจได้ สามารถให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง

 

จากนั้นก็จะให้นำข้อมูลในส่วนของข้อที่ 4 และ 5  ของแต่ละกลุ่มมาสรุป ร่วมกัน  ซึ่งจากกิจกรรมดังกล่าวผมคิดว่าทำให้พวกเราที่เข้าร่วมกิจกรรมได้ข้อมูลที่ลึก กว้าง ไกลขึ้น และรู้สึกว่าได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในเรื่อง คุณสมบัติของหัวหน้างาน  และ สิ่งที่อยากให้ลูกน้องมองเรา

 

กิจกรรมที่ทำให้ผมได้เรียนรู้และรู้จักตัวเองอีกกิจกรรมหนึ่งคือ กิจกรรมที่บอกเพื่อนในห้องให้เขียนภาพตามคำอธิบาย อาจารย์ได้โยงไปในเนื้อหาว่า การจะสั่งงานให้ความเข้าใจต้องวิเคราะห์ผู้ฟัง ต้องเข้าใจความแตกต่างของแต่ละคน คนเรามีพื้นฐานความเข้าใจไม่ตรงกัน ตามหลักของบัว 4 เหล่า ในวันนั้นผมได้แสดงความคิดเห็นว่า ทำไมเราไม่เอารูปให้เขาดูแล้ววาดตามละครับ อาจารย์ก็เปรียบเทียบว่า นั่นคือการที่เรานำตัวอย่างงานให้ลูกน้องดูและให้ทำตามแนวทางที่เราวางไว้ ซึ่งจะทำให้เขามองภาพออกในมุมมองเดียวกับเราได้เป็นอย่างดี และผมก็ได้การจุดประกายความรู้อีกอย่างหนึ่งคือ ถ้ามีตัวอย่างให้ดูและทำตามจะทำให้ไม่เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ลูกน้องก็จะรอการป้อนอย่างเดียว แต่อย่างไรก็ตามวิธีนี้ก็เป็นวิธีที่น่าจะเหมาะสำหรับงานที่ต้องเริ่มต้นใหม่ๆ และให้อยู่ในกรอบที่เราต้องการ

 

ระหว่างการอบรมตลอดทั้งวัน อาจารย์ก็จะยกทฤษฎีพร้อมยกตัวอย่างให้เห็นตามประสบการณ์ และแผนการสอนที่ได้เตรียมไว้ตามลำดับ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะให้เพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่อง ผู้นำยุคเก่า และผู้นำยุคใหม่ ผมคิดว่าน่าจะกล่าวถึงลักษณะของผู้นำในอนาคตด้วย เช่น ผู้นำในโลกของความไร้ระเบียบ  ความไม่สมดุล ตามที่ มาร์กาเร็ต เจ. วีตเลย์ ได้เขียนไว้ในหนังสือผู้นำกับวิทยาศาสตร์ใหม่ เป็นต้น

 

เรื่องที่ผมสามารถนำไปใช้ได้กับชีวิตประจำวันได้อีกเรื่องก็คือ การเลี้ยงลูก การสื่อสารกับลูก อาจารย์บอกว่า การเลี้ยงลูก การสื่อสารกับลูก ก็เหมือนกับการทำงานกับลูกน้อง คือ ต้องทำให้เขาเข้าใจ แต่ไม่ใช่ทำให้พอใจทุกคน ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยอ่านพบในหนังสือเลี้ยงลูกหลายเล่ม เหมือนกับที่อาจารย์ได้ยกตัวอย่างการใช้คำพูดว่า เราไม่ควรใช้คำปฏิเสธกับลูก เช่น คำว่า อย่า” ,“ไม่” ,“ห้ามเป็นต้น  ต้องใช้ประโยคที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม จับต้องได้  ประโยคหรือวลีที่มีคำปฏิเสธ เช่น  อย่าตื่นสายนะ ตื่นเช้าๆ  อย่าดื้อ เล่นกันดีๆ อย่างนี้ ใช้ไม่ได้ เพราะ วัดไม่ได้  เราอาจใช้คำพูดว่า พรุ่งนี้ให้ตื่นตอนเวลาตีหน้าครึ่งนะ เป็นต้น ถ้าเราใช้คำปฏิเสธมากๆ สิ่งที่ลูกได้ยินจะไม่ได้ยินคำปฏิเสธ แต่จะได้ยินและจดจำเฉพาะคำหลัง ๆ เช่น อย่าดื้อ ก็จะจดจำเอาเฉพาะคือว่า ดื้อ เป็นต้น ดังนั้นเราจึงควรพูดกับลูกด้วยประโยคที่เป็นจริงและวัดได้ เช่น แปรงฟันก่อนนอนนะ สวดมนต์ก่อนนอนทุกวันนะ อ่านหนังสือให้สนุกวันละอย่างน้อย 3 หน้านะ พ่อให้เงินวันละ 10 บาท ลูกต้องเก็บเงินใส่กระปุกออมสินให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 บาทนะ เป็นต้น

 

มุกสุดท้ายที่อาจารย์ฝากไว้ก่อนจบการอบรมคือ การเอานิทานเรื่องตากับตีนมาเล่าในฟัง เพื่อให้พวกคิดตาม ว่าการทำงานร่วมกันให้มีความสุขคือการทำงานเป็นทีม ไม่มีใครสำคัญกว่าใคร ทุกคนมีความสำคัญเช่นกัน

ตากับตีน

ตีนกับอยู่กันมาแสนผาสุข                       

จะนั่งลุกยืนเดินเพลินหนักหนา

มาวันหนึ่งตีนทะลึ่งเอ่ยปรัชญา

ว่าตีนมีคุณต่อตาซะจริง ๆ

ตีนพาตาไปในที่ต่าง ๆ 

ตาจึงได้ชมนางและสรรพสิ่ง

เพราะฉะนั้นดวงตาจึงประวิง   

ว่าตีนนี้เป็นสิ่งควรบูชา

ตาได้ยินตีนคุยโม้ก็หมั่นใส  

จึงร้องบอกออกไปด้วยโทสา

ว่าที่ตีนไปไหนได้ก็เพราะตา  

ดูมรรคาเศษแก้วหนามไม่ตำตีน

เพราะฉะนั้นตาจึงสำคัญกว่า

ขอตีนอย่าได้มาคิดดูหมิ่น

สรุปแล้วตามีค่าสูงกว่าตีน  

ทั่วธานินตีนไปได้ก็เพราะตา

ตีนได้ยินตาก็คลั่งแค้นแสนจะโกรธ

ก็พิโรธกระโดดไปใกล้หน้าผา

เพราะอวดดีคุยเบ่งเก่งกว่าตา     

 ดวงชีวาจะคับไปไม่รู้เลย

ตาเห็นตีนทำเก่งเร่งกระโดด  

ก็พิโรธแกล้งระงับหลับตาเฉย

ตีนพาตาถลาล้มทั้งก้มเงย

ตกแล้วเหวยตายห่าทั้งตาตีน

 

ที่มา http://www.geocities.com/rak_tam/pudtas/tamma3.html

http://www.geocities.com/watprempracha/nitan/ta-teen.htm

หมายเลขบันทึก: 270075เขียนเมื่อ 22 มิถุนายน 2009 16:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน 2012 14:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ภาพนี้คือภัตตาคารมังกรหลวง ค่ะ

แวะมาดูการอบรมค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท