นึกว่ามีมหาโจรในมหาวิทยาลัย


มหาโจรในมหาวิทยาลัย

 

           เปิดเทอมปุ๊บ ก็มีเรื่องให้ได้ขบคิด แล้วยิ่งเมื่อได้ฟังข่าว อ่านข่าว และมองเห็นก็ยิ่งชวนให้ต้องมานั่งขบคิดกันอีกหลายตลบ เรื่องแบบนี้มันมีที่มาที่ไปครับ

            เมื่อราวปลายเดือนก่อน หลังจากตรวจคนไข้ที่คลินิกนอกเวลาของโรงพยาบาลเสร็จเรียบร้อย ซึ่งมันก็ปาเข้าไปเป็นเวลา 2 ทุ่มอ่อนๆ (แปลว่า 2 ทุ่มก่อนครึ่งครับ ฮา) ผมขับรถกลับบ้าน และครั้นเมื่อลงจากตึกโรงพยาบาล ผ่านออกทางทางข้างตึกบริหารคณะแพทย์ ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย เหมือนคนกำลังทะเลาะกัน ด่ากันอย่างรุนแรงและเสียงดัง นี่มันเป็นเสียงผู้หญิงนี่หว่า ในใจก็นึกสงสัย เลยเปิดกระจกรถให้อ้ากว้างขึ้น เพื่อสดับรับฟังว่าใครจะตบกัน ของแบบนี้ธนพันธ์ชอบดู (ฮาอีกรอบ) แต่ก็มองไม่เห็น ซ้ำยังคงได้ยินเสียงดังชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงสามแยกเพื่อเลี้ยวซ้ายก็ได้ประจักษ์ เนื่องจากต้นเสียงที่ว่านั้น เกิดจากการตะโกนโหวกเหวกของนักศึกษาสาวจำนวนเกือบ 10 คน บรรดาเธอเหล่านั้นกำลังตะโกน ตะเบ็งเสียงดังไม่หยุด นัยว่ากำลังดุด่าใครอยู่ แต่พินิจอีกนิดก็ไม่เห็นว่ามีใครยืนให้เธอด่าเสียนี่ บางคนยืนทำท่าเอามือไพล่หลัง ตามระเบียบพัก หันหน้าออกมาทางถนน แล้วก็ ด่า ด่า ด่า (ไม่ใช่ ดาดาดา ของดอน สอนระเบียบหรอกนะครับ อันนั้นน่าฟังกว่าเยอะ)

            ลองหลับตานึกภาพนะครับ นักศึกษาสาวราว 10 คน ยืนด่าลม ด่าฟ้า ด่าให้คนที่ขับรถผ่านไปมาฟัง อะไร...ทำไมไม่มีระเบียบกันอย่างนี้ แล้วอย่างนี้จะมาเป็น...ได้ยังไง หา... เวลาอ่านประโยคเมื่อครู่ ต้องนึกภาพการตะคอก แหกปากพ่นออกไป เอาให้หลอดเลือดดำ jugular vein ข้างคอปูดขึ้นมาเป็นสันด้วยนะครับ

            ด้วยเห็นเช่นนี้ ท้องไส้เลยเริ่มปั่นป่วน เพราะไม่คิดว่านี่เป็นภาพที่ควรจะเห็น ไม่คิดว่าเป็นสิ่งที่ผู้หญิงดีๆเขาจะพึงกระทำกัน ไม่คิดว่าอนาคตของชาติที่ดีต้องกระทำตนแบบนี้ เลยได้แต่เหยียบคันเร่งรถยนต์เพื่อรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด ตัวสั่นด้วยความรู้สึกผะอืดผะอม ผมต้องรีบหาคนมาช่วย แล้วก็ได้เจอจริงๆ เมื่อเพื่อนบ้านที่คุ้นเคย ท่านเป็นอาจารย์ของนักศึกษาคณะดังกล่าว ผมจึงรีบรายงานสถานการณ์และความรู้สึกส่วนตัว บอกท่านว่า ช่วยหน่อยเถอะ เห็นแก่ฟ้าดิน อยากจะฝึกการด่าน้องก็ไปฝึกกันในที่รโหฐาน ด่ากันในห้องประชุม (นี่เดี๋ยวนี้ เขาต้องฝึกการด่ากันแล้วเหรอเนี่ย) อย่ามาฝึกนอกห้องแบบนี้ คนขับรถผ่านไปผ่านมาแล้วมันดูน่าเกลียด ไม่รู้ว่าถูกด่าไปด้วยหรือเปล่า อีกอย่าง คนข้างนอกเขาคงไม่เข้าใจหรอก ว่าระบบการด่าน้องของเราเป็นอย่างไร สมควรแค่ไหน กะอีแค่อยากให้ร้องเพลงเชียร์ให้เป็นต้องทำกันเพียงนี้เชียวหรือ แล้วถ้าเขารับรู้ว่าเป็นนักศึกษาคณะอะไร แล้วจะให้คงความไว้เนื้อเชื่อใจกันได้อย่างไร อาจารย์เพื่อนบ้านก็ดีเหลือเชื่อ ท่านอุตส่าห์โทรศัพท์ไปหาอาจารย์ที่ดูแลนักศึกษา แล้วขอให้น้องๆหยุดแล้วไปซักซ้อมกันที่อื่น

            อันนี้ผมถือว่าเป็น violent ครับ ไม่ใช่ violin นะครับ เพราะการกระทำดังกล่าวนั้น บางคนอาจจะมองว่าเป็นกิจกรรมของนักศึกษา สร้างความกลมเกลียว แต่คงไม่เถียงหากผมบอกว่านี่เป็นการด่า ด่ากันจริงๆ ด่าเสียๆหายๆ แล้วการด่านี้เป็นการทำร้ายจิตใจไหม เราเลี้ยงลูกมายังไม่เคยตะคอกด่าลูกแบบนี้เลยสักครั้ง เราเลี้ยงเขามาถึง 18 ปี ทะนุถนอมด้วยคำพูดไพเราะเสนาะหู แต่ครั้นเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยกลับถูกกระทำแบบนี้ ถ้าเป็นลูกผมถูกกระทำคงได้รู้เรื่องกันในบัดดล

            นึกย้อนไปเมื่อครั้งที่เป็นนักศึกษาแพทย์ ผมก็มีกิจกรรมประชุมเชียร์ และผมเองก็เคยเป็นรุ่นพี่ในห้องเชียร์เช่นเดียวกัน และผมสาบานได้เลยว่าไม่เคยด่าน้องเลยสักครั้ง (สาบานให้ตดเหม็นเลยก็ได้) แล้วลองไปเดินดูสิครับ ว่าการประชุมเชียร์ของแต่ละคณะนั้นเป็นเช่นไร หยาบคายไหม สะเทือนใจไหม ผมรับรองว่า ท่านคงรู้สึกเช่นเดียวกับผมบ้างล่ะครับ

            แล้วเวลาก็ผ่านมาจนเปิดเทอมจริงๆ สิ่งที่คาดว่าจะเห็นก็ได้เห็น เมื่อเย็นวันหนึ่ง (แทบจะทุกวันนั่นแหละครับ) มีการประชุมเชียร์ของนักศึกษาคณะหนึ่ง ผมมองเห็นรุ่นพี่ที่เตรียมว๊ากน้อง มายืนรออยู่ที่ริมถนน ทำหน้าเหี้ยมแล้วไม่มีการยิ้มหัว ปุดโธ่ ใครมองดูก็คงรู้ว่าเป็นรุ่นพี่แน่ๆ แต่ที่ไม่ค่อยแน่ใจนักก็คือ ไม่รู้ว่าเขาเป็นนักศึกษาจริงๆหรือไปว่าจ้างคนนอกรั้วมหาวิทยาลัยมายืนแทน เพราะแกเล่นเลือกเอาตัวคนที่หน้าตาดูแก่ได้โดยไม่ต้องเกรงใจใคร อีกทั้งผมเผ้าไม่ต้องหวี หนวดเคราก็ยาวยังกะฤๅษีไม่ปาน (นี่ไม่รู้ด้วยนะ ว่าเขาต้องมีการห้ามอาบน้ำด้วยหรือไม่) เขาเอามาเพื่อทำให้น้องเกรงขาม อย่าว่าแต่น้องปีหนึ่งเลยครับ รุ่นพี่ปีที่ 19 ที่เป็นอาจารย์แล้วอย่างผมเห็นแล้วยังไม่กล้ามองหน้าท่านเลย กลัวถูกยิงทิ้งท่อน้ำ แล้วนี่มันที่ไหนกันครับ ผมกำลังอยู่ในช่วงเวลาไหน ยุคไหน ศตวรรษที่เท่าไหร่ ทำไมมีนักศึกษาที่หน้าไม่เป็นนักศึกษามายืนเฝ้าถนนดูน้องๆวิ่งๆกลัวๆตื่นๆ

            เป็นข้อสรุปที่รวบรัดได้ในหัวใจคนเริ่มแก่อย่างผม ว่านี่ไม่น่าจะเป็นกิจกรรมที่ดีหรือสร้างสรรค์เป็นแน่แท้ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยไม่น่าจะวางเฉย ของมันเห็นตำตาครับท่าน  

หมายเลขบันทึก: 268646เขียนเมื่อ 16 มิถุนายน 2009 21:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 07:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

ขอพระคุณพระอาจารย์เต็มอย่างสูงครับ

ไม่อยากเข้าร่วมเล้ย

โอย...ไม่ต้องสว.ก็ไม่เคยเห็นด้วยมานานแล้วค่ะ เรียนคณะอาร์ตนี้รับน้องโหดขึ้นชื่อ รับกันยาวสองเดือนเต็ม เจอแต่เรื่องไร้สาระ มาตะคอกเรา เลยลุกขึ้นเดินออกมาแต่โดนบัง พี่เขาถามว่าจะไปไหน บอกว่าจะไปล้างหน้า น้ำลายพี่กระเด็นใส่หน้ามันเหม็น พอใจหรือยัง พอใจคำตอบแล้วก็หลีกทางด้วย คือเด็กส่วนใหญ่ไม่กล้า ยอมพวกนี้เลยเจอธรรมเนียมนี้กดไว้ ตอนตัวเองเจอโดนหลอกเข้าไปครั้งแรกก็ทนสักพักเพื่ออยู่กับเพื่อน แต่พอไม่อยากทนก็ลุกออกมา ใครจะกล้าขวาง ขวางเด่ะจะแจ้งความให้

พอเลื่อนขึ้นเป็นพี่เขาก็ขอสังกัดแผนกเอ็นเตอร์เทน เน้นขำ เน้นฮา แจกขนมน้อง เพื่อนที่เป็นว๊ากเสียงแหบเสียงแห้งเจ็บคอ เจอเราสมน้ำหน้าประจำบอกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว มักจะช่วยบอกน้องว่าอย่าไปสนใจพวกนี้มาก มันทำท่าเก๋าไปงั้นเอง ไม่มีอะไรเลย ไม่ชอบก็ไม่ต้องเข้าไปร่วม ใครก็บังคับเราไม่ได้หรอก หลายคนไม่พอใจ เจอเราสวนว่าแล้วจะทำไม จะทำไรเราได้ช่วยบอกหน่อยดิ ส่วนใหญ่ที่โดนคือกลัว ไม่กล้า กลัวว่าเพื่อนจะไม่รับเข้ากลุ่ม กลัวพี่จะไม่ช่วยตอนเรียน ตัวเราเองไม่เห็นต้องให้ใครช่วย มีแต่ช่วยชาวบ้านทำงาน ช่วยพวกพี่พวกนั้นด้วยซ้ำ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่เคยคิดง้อใครให้มาช่วยเราเลยสักนิด จบมาเรามีบริษัทของตัวเองพวกนั้นยังมาของานเราทำด้วยซ้ำ วัฒนธรรมนี้มันเฮงกาบ๊วยค่ะ คนเราพูดกันดีๆ ได้ สื่อสารกันด้วยภาษามนุษย์ปกติก็สามารถเข้าใจ ทำไมต้องไปตะคอกดุด่าคนอื่นเขา พวกที่ชอบคือส่วนใหญ่ตัวเองมีความเก็บกดเลยอยากอวดอำนาจที่ตัวเองไม่มีใส่คนอื่น อยากแสดง power ให้คนอื่นนับถือ

ไอ้การรับน้องแบบนี้ควรเลิกไปนานแล้วค่ะ อุบาทว์มาก ประสบการณ์ตัวเองเท่าหางอึ่งไปตะคอกอบรมคนอื่นอยู่ได้ ต้องให้บรรดาอาจารย์จับพวกนี้มาสอบถามดูว่ารู้อะไรแค่ไหนกับสิ่งที่เรียนถึงกล้าไปตะคอกด่าชาวบ้าน ทำแบบนี้แล้วจะได้รู้ว่าตัวเองนี่กระจอกมากทีเดียว ต้องทำต่อหน้าเด็กปีหนึ่งนี่ล่ะ มันจะได้เลิกกลัวพวกนี้สักที ได้เห็นความกระจอกต่อหน้ามันจะทำให้เก็ตว่าอ๋อ...ก็แค่เนี้ย ดันมาทำเป็นอบรมตู จอกว่ะ

คคห ของคุณน้องซาน...น่าจะได้ไปพิมพ์แจกตามมหาวิทยาลัย สถานศึกษา หรือโน่น เลยค่ะ...

หนังสือพิมพ์

ทำงานง่วงแล้วตามมาอ่าน ตาโตเลยค่ะ ;P

เห็นด้วยทั้งบันทึกค่ะ อาจารย์ธนพันธ์

ธรรมเนียมพวกนี้น่าได้รับการปรับเปลี่ยนด้วยการอบรมจาก"อาจารย์" ทั้งหลายที่เด็กเขาเคารพนับถือนะคะ เรื่องพวกนี้ถ้าผู้ใหญ่(ที่เกี่ยวข้อง)ไม่ชี้ทางสว่างให้เด็ก(โข่ง) กลุ่มที่ยังทำๆอยู่คิด ก็คงเกิดกันอยู่ไม่รู้จบแหละค่ะ เป็นการแก้แค้นต่อๆกันไปจากกลุ่มคนเก็บกดอย่างที่น้องซานว่านั่นแหละ คนที่มี self esteem ปกติเขาก็ไม่ทำหรอกค่ะ จะเป็นพี่"ว้าก"ก็ว้ากแบบมีวัฒนธรรมได้ เข้มกับน้องได้โดยไม่ต้องหยาบคายดุด่านี่คงเป็นเรื่องที่เราต้องสอนนักศึกษาของเรานะคะ

โห พี่ซู little jazz ดุเหลือนะพี่

แต่เชื่อครับว่าพี่ทำอย่างที่บอกได้จริงๆ ฮา

แต่สงสารน้องนะครับพี่ มาใหม่ๆนี่หงอมากเลยครับ ดูผมเป็นตัวอย่าง คร๊าบ....ลูกเดียว เพราะตอนนั้นใหม่สดและคิดไม่ทัน อยากเป็นน้องที่ดี เห็นรุ่นอื่นๆเขาก็ผ่านไปได้ รุ่นเราก็น่าจะผ่านไปได้

แต่ตอนนี้เราเป็นคนนอก เราเห็นชัดกว่าคนที่อยู่ภายใน เราจึงไม่เห็นด้วยอย่างไรเล่า

ซูฮกพี่จริงๆ

สวัสดีครับท่าน ภูสุภา

เอาถึงหนังสือพิมพ์เลยเหรอครับ ฮ่า ฮ่า

แบบว่าฉบับนั้นคงไม่มีคนอ่านคอลัมน์นี้หรอก

พี่โอ๋

บางเรื่องเขาก็ไม่เชื่ออาจารย์ครับ เพราะเป็นเรื่องของเขา

แต่ถ้าอาจารย์ของขึ้นนั่นคงเป็นอีกเรื่อง เป็นต้นว่า ลูกสาวผมถูกว๊ากจนเธอร้องไห้ หรือถูกสั่งลงโทษ เช่น ยกแขนนานๆจนปวดระบม อันนี้ของขึ้นแน่ๆ และเมื่อผมของขึ้น พี่ๆเหล่านั้นก็จะงานเข้าครับ

อ่านแล้ว ก็แปลกใจนะคะ ไม่เคยโดนอะไรรุนแรง เวลาถูกรับน้อง พอถึงเวลาเราเป็นพี่ ก็ไม่เคยรุนแรงกับน้องเลย นึกไม่ออกว่า ทำแบบนี้ไปทำไม 
ส่วนลูกชายตัวเอง เขาาก็มีประสบการณ์ค่ะ เขาไม่ซ้อมเชียร์ ไม่ร่วมกิจกรรมเลย พี่ๆบอกว่า ใครไม่มาซ้อมเชียร์ ไม่ให้แหวนรุ่น เขาก็บอกว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องให้เขา....ก็ไม่เคยมีปัญหาเหมือนกัน
จริงๆ รุ่นน้อง ไม่ต้องไปโดนว๊าก โดนอะไรก็ได้ค่ะ มันอยู่ที่เราด้วย

อันนี้ก็พูดยากครับ

น้องเข้ามาร้อยพ่อพันแม่ ส่วนมากก็อยากจะเป็นเนื้อเดียวกับพี่ๆเพื่อนๆ ก็เลยยอมๆกันไป

ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ยอมๆกันนั่นแหละครับ เพียงแต่เมื่อก่อนนั้น มันไม่เห็นจะโหดเหมือนตอนนี้เลย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท