การเดินทางเข้าสู่ ตำบล วาเล่ย์ ในวันแรกที่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ที่ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก นั้นใครว่าเดินทางลำบากมากนั้นไม่จริงสักเท่าไรเลย เนื่องจากเคยทำงานที่อำเภออุ้มผางมาก่อนหน้านี้แล้ว เป็นเวลา 3 ปี ที่หฤโหดมาก โหดมากเพราะเหตุใดน่าหรือ เส้นทางขึ้นภูเขาเป็นลูกๆ แถมยังมีโค้งที่หักศอกอีกตั้ง 1,229 โค้งด้วยกัน เวลาเดินทางขึ้นอุ้มผาง จะต้องรับประทานยาแก้เมารถทุกครั้ง ที่จะต้องเดินทางไม่ว่าจะออกจากอำเภออุ้มผาง หรือต้องเดินทางขึ้นอำเภออุ้มผาง เนื่องจากเป็นคนที่เมารถเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ที่เห็นเหมือนกันกับอุ้มผางก็คือบรรยากาศที่แสนจะหนาวเย็น ในช่วงฤดูหนาว หรือไม่ก็มีฝนตกตลอดอาทิตย์ในฤดูฝน อย่างที่ชาวบ้านเค้าบอกต่อๆ กันมาว่า ฝน 8 แดด 4 คือ ฝนตก 8 เดือน และอีก 4 เดือนจะมีแดดออก โดยเฉพาะฤดูหนาวจะเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม จนถึงเดือนมีนาคม คงแปลกใจกันใช่มั๊ยหละว่าทำไมเดือนมีนาคมทำไมไม่ใช่ฤดูร้อนเหมือนกับที่อื่นๆ เพราะที่อำเภออุ้มผางกับอำเภอพบพระนั้นอยู่บนภูเขา จึงทำให้ในเดือนมีนาและเมษายน และช่วงเวลาประมาณ 3 ทุ่มจนถึง 6 โมงเช้าจะมีอากาศที่เย็น แต่ช่วงเวลากลางวันอากาศจะค่อนข้างร้อนแต่ไม่ร้อนมากเท่าไร และจะมีลมพัดตลอดเวลาจึงทำให้อากาศไม่ค่อยร้อนเหมือนกับที่อื่นๆ ที่เล่าให้ฟังนี้เพราะมีประสบการณ์จากตัวเองกับบิดามาแล้ว เพราะตอนที่บิดาขึ้นมาเยี่ยมที่อำเภอพบพระ ก็บอกท่านไปแล้วว่าอากาศช่วงเดือนมีนาคม ยังคงเย็นอยู่แต่บิดาก็ไม่เชื่อเท่าไรเพราะท่านอาศัยอยู่ที่จังหวัดลพบุรี เพราะที่นั่นร้อนมาก แต่เมื่อขึ้นมาที่อำเภอ พบพระในครั้งนั้นจึงรู้กระจ่างแก่ใจว่าอากาศที่นี่ยังเย็นอยู่เลย เพราะท่านไม่ได้เตรียมผ้าห่มมาด้วย ท่านจึงชอบอากาศที่อำเภอพบพระ อ้อลืมเล่าไปว่าตอนที่ขึ้นไปทำงานที่อำเภออุ้มผางท่านก็ได้ขึ้นไปส่งที่อำเภออุ้มผางด้วย ท่านว่าอากาศดีแต่หนทางลำบากเหลือเกิน ดังนั้นพอได้มาเที่ยวที่อำเภอพบพระท่านจึงชอบอำเภอพบพระมากกว่าอำเภออุ้มผาง
ที่นี้มาเล่าเรื่องของตำบลวาเล่ย์กันบ้าง ตำบลวาเล่ย์นั้นแรกเริ่มเดิมทีเป็นที่อาศัยของชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยง ซึ่งบริเวณพื้นที่จะเป็นที่ราบสูงสลับกับภูเขา และมีป่าไม้หนาแน่และต่อมาเมื่อคนไทยที่อพยพมาจากจังหวัดลำพูน ลำปาง เข้ามาอาศัยเพื่อทำมาหากินและในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวฝรั่งเศสได้เข้ามาสัมปทานป่าไม้ในตำบลนี้ และเห็นว่าอากาศและบรรยากาศที่นี้คล้ายคลึงกับประเทศของตนเองมาก จึงได้ตั้งชื่อว่า “วาเล่ย์ “ ซึ่งแปลว่า อ้อมกอดแห่งขุนเขา ซึ่งที่แปลกมากคือ ถ้าฝนตกฝั่งพม่าทางตำบลวาเล่ย์ก็จะมีฝนตกตามฝั่งพม่า แต่ในตัวอำเภอหรือตำบลอื่นๆจะไม่มีฝนตกเลย และเมื่อถึงฤดูหนาวก็จะหนาวเย็นมากแต่ยังไม่หนาวเท่ากับอุ้มผาง เพราะที่อุ้มผางเวลาอาบน้ำ (น้ำเย็น) น้ำจะเย็นมากเหมือนกับเข็มมาตำที่ผิวของเราเป็นหมื่นๆเล่มด้วยกัน แต่ที่วาเล่ย์อาบน้ำได้อย่างสบาย จากประสบการณ์ของตนเองก็คงจะเล่าเท่านี้ก่อนแล้วพบกันในครั้งหน้านะคะ
ใช้แล้วครับ........ผมก้ออนึงคิดถึงบ้านวาเล่ย์ เหมือนกันครับ
ตัวกระผมเองก็เป็นคนในท้องถิ่นบ้านวาเล่ย์ ผมก็ชอบความเป็นธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ของสองฝังแม่น้ำเมย ขูนเขา
และความมีน้ำใจสามัคคี ของหมูบ้านวาเล่ย์ ผมก็สนใจ เกี่ยวกับ โครงการเศรษฐกิจพอเพียงของหมู่บ้านที่ได้ดำเนิน และกลุ่มจักรเย็บผ้า และกลุ่มทอผ้า ซึ่งเป็นโครงการที่ดีมากๆๆๆๆ อยากจะเห็นโครงการแบบนี้ เข้าในหมู่บ้านวาเล่ย ให้ ตลอดไป เพราะว่า หมู่บ้านวาเล่ย์ชาววาเล่ย์ใต้และชาวบ้านวาเล่ย์ จะหาเวลาว่างจากการทำงาน เพื่อหารายได้เสิอมอีกทางหนึ่ง บ้านวาเล่ย์หมู่ 2 ขอบคุณกับโครงการที่เข้ามาให้ความรู้และแนะนำ ....นะครับ
ขอคุณมากนะครับ ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของ ที่มาของบ้านวาเล่ย์
( จาก หละออนบ้านใต้ )
น่าอิจฉาคนไปเที่ยวมาแล้วนะครับ ผมคงจะหาโอกาสไปเยือนสักครั้ง