dawns
ครูไทย ครู กระทรวงศึกษาธิการ

มะรุม


มะรุมรักษาโรค

มะรุม

 

( ยาสารพัดประโยชน์ )

 

( โรคเก๊าท์ , มะเร็ง , เบาหวาน , ความดัน  , โรคเกี่ยวกับตับไต , เอดส์ , โรคเกี่ยวกับกระดูก , โรคคอหอยพอก , สายตา ......ฯลฯ )

 

    

 

 

 

 

 

 

 

 

ลองอ่านก่อนค่อยเชื่อ เล่าสู่กันฟัง

(กินแล้วดีมีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษ จากประสบการณ์ของตนเองและผู้อื่น )

 

มะรุม พืชมหัศจรรย์

เขียนโดย D.Healer เมื่อ 17 เมษายน 2008 - 04:55pm

มะรุม เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณในหลายด้าน เช่น ราก จะมีรสเผ็ด หวาน ขม แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ เปลือก จะมีรสร้อน ช่วยขับลม ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้ เป็นต้น

ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น ราก ฝัก ใบ เนื้อในเมล็ด
สรรพคุณ :

ฝัก  -  ปรุงเป็นอาหารรับประทานแก้ไข้หัวลม                                                                                                                                     เปลือกต้น - มีรสร้อน รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก)

ราก - มีรสเผ็ด หวานขม แก้บวม บำรุงไฟธาตุ มีคุณเสมอกับกุ่มบก
      - แก้พิษ ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ
แพทย์ตามชนบท ใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมาเลย

จากประสบการณ์ เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก การรับประทานเนื้อในเมล็ด และใบสดเป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้

ข้อควรระวัง ในคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทาน

"มะรุม" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ กินได้หลายส่วน ทั้งยอด ดอก และฝักเขียว แต่ใครๆ ก็นิยมกินฝักมากกว่าส่วนอื่นๆ ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทางอีสานเรียก "ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม" ภาคเหนือเรียก "มะค้อมก้อน" ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก "กาแน้งเดิง" ส่วนชานฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก "ผักเนื้อไก่" เป็นต้น

ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นหนาวเพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม หาได้ง่าย รสชาติอร่อยเพราะสดเต็มที่ มีขายตามตลาดในช่วงฤดูกาล คนที่ปลูกมะรุมไว้ในบ้านเท่านั้นจึงจะมีโอกาสลิ้มรสยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอกและฝักอ่อน ช่อดอกนำไปดองเก็บไว้กินกับน้ำพริก ยอดมะรุม ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อนนำมาลวกหรือต้มให้สุก จิ้มกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกแจ่วบอง กินแนมกับลาบ ก้อย แจ่วได้ทุกอย่าง หรือจะใช้ยอดอ่อน ช่อดอกทำแกงส้มหรือแกงอ่อมก็ได้

ส่วนอื่นๆ ของโลกจะใช้ใบมะรุมประกอบอาหารเช่นเดียวกับการใช้ผักขมฝรั่ง หรือปรุงเป็นซอสข้นราดข้าวหรืออาหารแป้งอื่นๆ นอกจากนี้ ใช้ใบตากแห้งป่นเก็บไว้ได้นานโรยอาหาร เช่นเดียวกับที่ภูมิปัญญาอีสานจังหวัดสกลนครใช้ใบมะรุมแห้งปรุงเข้าเครื่อง "ผงนัว" กับสมุนไพรอื่นไว้แต่งรสอาหารมาแต่โบราณ ส่วนฝักอ่อนปรุงอาหารเหมือนถั่วแขก

คุณค่าทางอาหารของมะรุม
มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค
ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน
นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ วิตามินเอ    บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า วิตามินซี    วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
แคลเซียม บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด โพแทสเซียม    บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย ใยอาหารและพลังงาน  ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก
ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานาหญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก "มาลังเก") เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย

ประโยชน์ของมะรุม
1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิดถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอดได้เป็นอย่างดี
2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้
3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง
4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้งยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง
5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศแอฟริกา
6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน
หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีร่างกายที่แข็งแรง
7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊าท์ โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม
8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้น หากรับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์
9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง ท้องเสีย ท้องผูก โรคพยาธิในลำไส้
10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ
11.เป็นยาปฏิชีวนะ

น้ำมันมะรุม
สรรพคุณ
..ใช้หยอดจมูกรักษาโรคภูมิแพ้ ไซนัสโรคทางเดินหายใจ ใช้หยอดหูฆ่าและป้องกันพยาธิในหู รักษาอาการเยื่อบุหูอักเสบ รักษาโรคหูน้ำหนวก ใช้ทาผิวหนังรักษาโรคผิวหนังจากเชื้อราและเชื้อไวรัส รักษาโรคเริม งูสวัด รักษาและบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ใช้ทารักษาแผลสด หูด ตาปลา ใช้ถูนวดบรรเทาอาการบริเวณที่ปวดบวมตามข้อ รักษาโรคไขข้ออักเสบ เก๊าท์ รูมาติก เป็นต้น

ชะลอความแก่
กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย

ฆ่าจุลินทรีย์
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู
ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว

การป้องกันมะเร็ง
สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุมสามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้
การทดลองในหนูพบว่าหนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม


ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล
จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก

ใบมะรุม 100 กรัม  (คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)
พลังงาน           26 แคลอรี
โปรตีน             6.7 กรัม (2 เท่าของนม)
ไขมัน               0.1 กรัม
ใยอาหาร           4.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต     3.7 กรัม
วิตามินเอ           6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)
วิตามินซี           220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)
แคโรทีน           110 ไมโครกรัม
แคลเซียม         440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)
ฟอสฟอรัส         110 มิลลิกรัม
เหล็ก               0.18 มิลลิกรัม
แมกนีเซียม       28 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม       259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)

ทั้งนี้ กลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลง ทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และหลอดเลือดแดงใหญ่ (เอออร์ตา) โดย
กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย
ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอรอลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง
สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง

 

ฤทธิ์ป้องกันตับ
งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุมกรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสียหายโดยไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤทธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรส อะลานีน
ทรานมิโนทรานสเฟอเรส อัลคาไลน์ฟอสฟาเทส และบิลิรูบินในเลือด และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตับจากยาเหล่านี้

ในใบมะรุมจะมีวิตามินซีมากกว่าส้ม ถึง 7 เท่า มีธาตุแคลเซียมมากกว่านมถึง 4 เท่า มีวิตามินเอมากกว่าแครอท 4 เท่า มีโปรตีนมากกว่านม 2 เท่า และมีธาตุโพแทสเซียมมากกว่ากล้วย 3 เท่า

ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว จากมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี บอกว่า ในใบมะรุมมีสารอยู่หลายชนิดดังที่ได้กล่าวมา ในทางการแพทย์จะช่วยใช้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน ใช้ควบคุมภาวะความดันโลหิตสูง ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ถ้ามีการใช้ควบคู่กับยาแผนปัจจุบันจะช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรครูมาติซั่มและรักษาโรคตาได้เกือบทุกชนิด ภญ.ผกากรองย้ำว่าจะใช้ใบมะรุมเพื่อการรักษาโรคควรใช้ควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาของคณะแพทย์ศิริราชพยาบาล พบว่าสารสกัดน้ำของมะรุมน่าจะเป็นสมุนไพรที่ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ส่วนงานวิจัยในประเทศอินเดียได้ใช้แอลกอฮอล์สกัดเมล็ดของมะรุมมาให้หนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นข้ออักเสบ พบว่าสารสกัดมะรุมช่วยลดการอักเสบ แต่เป็นการทดลองในหนูเท่านั้น ถึงแม้ยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันชัดเจนว่ามะรุมต้านความชราได้ แต่ได้มีการวิเคราะห์พบว่าในมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์ที่สำคัญอยู่หลายตัวซึ่งมีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ จากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้คนญี่ปุ่นได้มีการผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายและในประเทศเริ่มมีผลิตเป็นแคปซูลใบมะรุมจำหน่ายกันบ้างแล้ว แต่ในขณะนี้ทาง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยายังไม่มีการอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์จากมะรุม เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาพิษวิทยาที่อาจจะเกิดจากการบริโภคมะรุมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ที่ผ่านมาคนไทยบริโภคมะรุมเป็นอาหาร

มีการวิจัยได้สรุปว่าการกินมะรุมจะมีผลต่อการลดไขมันในร่างกาย ดังนั้นหากการกินมะรุมมีผลทำให้ขับไขมันออกมาทางอุจจาระมากขึ้น นั่นก็หมายถึงไขมันที่กินเข้าไปไม่ถูกดูดซึมในร่างกาย ซึ่งก็ไม่ได้ดีเสมอไป เพราะโดยปกติร่างกายเราต้องการไขมันในการใช้เป็นพลังงานและทำให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติประมาณวันละ 15-30%.

 


เอกสารอ้างอิง:

Nature's Medicine Cabinet by Sanford Holst
The Miracle Tree by Lowell Fuglie
LA times March 27th 2000 article wrote by Mark Fritz. WWW.PUBMED.GOV. (Search for Moringa) (Antiviral Research Volume 60, Issue 3, Nov. 2003, Pages 175-180: Depts. of Microbiology, Pharmaceutical Botany, Pharmacology, Faculty of Pharmaceutical Science, Chulalongkorn University, Bangkok.

นิตยสารหมอชาวบ้านปีที่ 29 ฉบับที่ 338 มิถุนายน 2550

 

สิ่งที่ทุกท่านจะได้อ่านต่อจากนี้ไป                                เป็นข้อมูลเพียงบางส่วนที่คัดย่อมาจากสำเนาเอกสารที่ข้าพเจ้าได้รับต่อๆกันมาทาง                           อินเตอร์เน็ท ซึ่งผู้เรียงเรียงข้อมูลดังกล่าวคือ

คุณ วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ซึ่งข้าพเจ้าได้อ่านแล้วเกิดความรู้สึกประทับใจในสรรพคุณของมะรุมและโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลทุกท่านที่กล่าวถึงในบทความนี้                                 ซึ่งคุณ วิไลวรรณ ท่านได้กรุณาสละเวลาและแรงกายในการเรียบเรียงข้อมูลทั้งหมดและเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานแก่คนทั่วไป โดยหวังว่า"มะรุม"ของไทยเราอาจจะเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับคนทั่วไปที่ได้รับความทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บที่ได้รับการรักษาโดยการแพทย์แผนปัจจุบันแต่ไม่สัมฤทธิ์ผลตรงกับความต้องการใขขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลก็มีแนวโน้มสูงขึ้นตลอดเวลา

แต่เนื่องจากข้าพเจ้าไม่สามารถติดต่อ คุณ วิไลวรรณ

 ได้ จึงต้องกราบขออภัยท่านมา ณ

ที่นี้ด้วยที่นำข้อมูลของท่านมาเผยแพร่โดยมิได้ขออนุญาตท่านก่อน แต่ข้าพเจ้าก็เชื่อมั่นในความปราถนาดีของท่านในอันที่จะเผยแพร่ข้อมูลเพื่อเป็นสาธารณะกุศล

อานิสงส์ผลบุญอันใดที่เกิดจากข้อมูลดังที่จะเสนอนี้

ข้าพเจ้าและทุก ๆ ท่านที่ได้อ่านข้อมูลนี้

ขอร่วมอนุโมทนาให้คุณ วิไลวรรณและครอบครัว

ตลอดจนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านจงประสบแด่ความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยเทอญ                                                   ทุกท่านที่อ้างถึงต่อไปนี้ มีตัวตนจริงและยังมีชีวิตอยู่ 

 บางท่านอนุญาตให้ลงนามจริงได้                               บางท่านได้ขอร้องไม่ให้ระบุชื่อ                                 ผลที่เกิดกับแต่ละท่านแตกต่างกันไปตามสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล  ก่อนจะนำไปใช้กับตนเองขอให้ใช้วิจารณญาณของท่านเอง  และถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้ปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิด   และห้ามหยุดยารักษาโรคทุกชนิดที่รับประทานอยู่ 

จนกว่าจะได้รับคำสั่งจากแพทย์ผู้ทำการรักษาให้ลดขนาดหรือหยุดการใช้ยา อย่าเสี่ยงกับสุขภาพของท่านเพียงเพราะอ่านจากหนังสือเท่านั้น  ผู้เขียนเองในขณะที่รับประทานมะรุมในเบื้องต้นก็ได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิดเช่นกัน  หลังจากการรับประทานติดต่อกันมาเป็นเวลา

  3 ปีครึ่ง จึงเห็นผลคุ้มค่า คุณกรองทอง ชุติมา  เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูผู้เขียนมาตั้งแต่เกิด  ท่านเป็นน้องสาวคนเดียวของคุณสุรพล  อนุสารสุนทร  บิดาของผู้เขียนเมื่อท่านทราบว่าผู้เขียนหายขาดจากโรคหลายชนิดเพราะผงใบมะรุม ท่านก็ให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง คุณปู่ของผู้เขียน  คุณหลวงอนุสารสุนทร  เป็นนักค้นค้วาและวิจัยสมุนไพรสมัครเล่น  คุณอาจึงเติบโตมากับสมุนไพร          เมื่อได้ทราบประโยชน์ของมะรุม  คุณอาจึงเริ่มรับประทานมะรุมผงตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  นับเป็นเวลาประมาณ 4 ปีแล้ว ขณะนี้ท่านอายุ 90 ปีเต็ม  ตลอดระเวลา 4 ปีที่ผ่านมา  ท่านไม่เคยเจ็บป่วยเลย  กลับมีสุขภาพแข็งแรงจนเป็นที่กล่าวขวัญถึงของคนทั่วไปที่รู้จักท่าน อีกทั้งผิวพรรณของท่านก็ดูสดใส 

 นอกจากนั้นท่านยังได้ให้ความสำคัญและพยามยามเผยแพร่เรื่องมะรุมไปยังบุคคลหลายระดับ แม้แต่การจัดหาพันธุ์มะรุมแจกจ่ายไปตามหน่วยงานการกุศล และชาวบ้านทั่วไป  รวมทั้งพยายามให้สถาบันราชภัฏเชียงใหม่ทดลองปลูกด้วย มะรุมกับการรักษามะเร็ง  ในจำนวนคนที่ได้รับผลดีเป็นอย่างมากจากการใช้ใบมะรุมผง

          ได้แก่บุคคลในครอบครัวคือน้องสาวคนเล็กและพี่สาวคนรอง ก้อนเนื้อที่เต้านมของน้องสาว  เริ่มทำท่าจะโตขึ้น แพทย์จึงนัดทำการตัดชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นมะเร็ง เผอิญเป็นเวลาที่น้องสาวเริ่มรับประทานผงมะรุม

เมื่อถึงเวลาที่แพทย์ตรวจ  ปรากฏว่าก้อนเนื้อที่มีมานานได้หายไปอย่างน่าประหลาดใจ และไม่กลับมาอีกเลยจนทุกวันนี้  ส่วนพี่สาวคนรองมีอาการมากกว่าคือเจ็บมากแพทย์ที่สหรัฐอเมริกาตรวจแล้วลงความเห็นว่า อาจจะเป็นมะเร็งทรวงอก จึงตัดชิ้นเนื้อไปพิสูจน์  ผู้เขียนจึงได้ขอร้องให้พี่สาวลองรับประทานผงมะรุมดู 4 เดือน หลังจากนั้นผลการตรวจครั้งที่ 3  ที่ประเทศฮอลแลนด์ พบว่า ก้อนเนื้อนั้นได้หายไปแล้ว  ข้อเขียนนี้ไม่ได้ยืนยันว่า ใบมะรุมช่วยรักษาโรคมะเร็งได้เพราะหลักฐานในการพิสูจน์ยังมีไม่มากพอ

  เพียงแต่เป็นประสบการณ์เฉพาะบุคคลเท่านั้น  เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งที่วัดป่าธรรมชาติ   ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน คือ

 หมอตรวจเจอก้อนเนื้อที่ทรวงอก  แต่หลังจากรับประทานผงมะรุมแล้ว ก้อนเนื้อนั้นก็หายไป  นี่เป็นสัญญาณที่ดีและพอจะมีความหวังได้ว่า ผงมะรุมอาจช่วยคลี่คลายปัญหาได้ 

หากท่านรู้จักผู้ที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกันนี้  ช่วยบอกต่อๆกันไปจะเป็นพระคุณยิ่ง  

ผู้เขียนมีเพื่อน 3 คนเป็นมะเร็งต่างชนิดกัน และผ่านการรักษามาแล้ว  เมื่อหันมารับประทานมะรุมก็สามารถช่วยให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์และแข็งแรง

  คนแรกเป็นมะเร็งลำไส้  ผ่านการรักษาด้วยกัมมันตภาพรังสีมาครบ 3 ครั้ง  ภูมิต้านทานตกต่ำถึงที่สุด  ผู้เขียนได้ส่งผงมะรุมจากอเมริกาไปให้รับประทานทุกเดือน ขณะนี้เป็นผลที่น่าพอใจ  ร่างกายแข็งแรงขึ้นมาก  เมื่อถึงเวลาพบแพทย์ตามนัด ผลตรวจเป็นที่น่าพอใจ  ทุกท่านยืนยันว่าภูมิต้านทานดีมาก  และไม่มีอาการอ่อนเพลีย  คนที่สองเป็นลูกสาวของเพื่อน เธอเป็นมะเร็งเต้านม ผ่านการผ่าตัดมาแล้ว  2 

ครั้ง  ขณะนี้ได้ลุกลามไปถึงบริเวณกระดูกแล้ว เธอก็มีกำลังใจดี ร่างกายแข็งแรง  ไม่เคยมีอาการแพ้ยาแต่อย่างใด 

หลังการผ่าตัดเธอก็สามารถฟื้นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และสามารถขับรถได้ด้วย เธอรับประทานทั้งใบแห้งและเมล็ดมะรุม  เป็นประจำขณะเดียวกันก็รับประทานเห็ด 3 อย่างตามคำแนะนำของท่านอาจารย์สุทธิวัสส์อย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าอาการมะเร็งยังไม่หายไป แต่เธอก็เชื่อว่าทั้งมะรุมและเห็ดมีส่วนทำให้ร่างกายของเธอแข็งแรง และพร้อมที่จะต่อสู้โรคร้ายต่อไปขณะนี้เธอกำลังรอการตัดสินใจจากแพทย์ว่าจะต้องรักษาด้วยกัมมันตภาพรังสีหรือไม่ คนสุดท้ายเป็นเพื่อนสนิท  เป็นมะเร็งที่ปีกมดลูก ผ่าตัดมาเรียบร้อยแล้วหลังการผ่าตัดเธอรับประทานทั้งมะรุมผงและมะรุมเม็ด รวมทั้งเห็ด 3 อย่าง ขณะที่แพทย์ให้ความเห็นว่ามะเร็งหายสนิทแล้ว แต่เพื่อความไม่ประมาทเธอก็ยังไปรับการตรวจจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

มะรุมกับการรักษาโรคคอหอยพอก

ในการรักษาโรคคอหอยพอกชนิดมีพิษนั้น ตัวเขียนได้รับความสำเร็จ 100 % โดยใช้เวลาจริงๆเพียงแค่ 3

 เดือนภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้รักษา

หากท่านอยากจะนำไปรักษา ควรปรึกษาแพทย์ขอความช่วยเหลือ เพราะร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน 

โดยเฉพาะผู้ชายจากการสำรวจทดลองของผู้เชี่ยวชาญพบว่า ได้ผลเพียง 75 % สำหรับการควบคุมนั้นต้องใช้ระยะยาว ผู้เขียวยังไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับโรคคอหอยพอกชนิดไม่มีพิษ  ท่านที่ประสบผลสำเร็จกรุณาแจ้งให้ทราบจะเป็นพระคุณยิ่ง

 

มะรุมกับการรักษาโรคกระดูก

                                           

 ปัญหาส่วนใหญ่ของผู้สูงอายุคือการหกล้ม ส่วนใหญ่มักจะกลายเป็นเรื่องร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นถ้าเราสามารถเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรงแล้วผลร้ายของการหกล้มก็ลดน้อยลง ประสบการณ์เรื่องกระดูกนี้มีผู้ได้รับผลประโยชน์มากมายเขียนเองเห็นผลเป็นคนแรก   หลังจากนั้นเพื่อนของพี่สาวคนโตที่เมืองโอคาล่าประสบอุบัติเหตุตกจักรยาน ไหปลาร้าหัก แขนหัก 2 ท่อนเนื่องจาก JANE                              (นามสมมุติ) มีอายุ 60 ปี และยังมีอาการเบาหวานแทรกซ้อนจึงเป็นการยากลำบากอย่างยิ่งในการรักษา   แพทย์ประเมินผลว่าการรักษาจะต้องใช้เวลาเป็นแรมปี เมื่อผู้เขียนทราบข่าวจึงได้เล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟังเนื่องจาก                             JANE เป็นเพื่อนรักของพี่สาวจึงบังคับให้เธอรับประทานใบมะรุมสดทุกวันและทุกมื้อ ขนาดลงทุนปลูกต้นมะรุมไว้ถึง 2 ต้น  ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจจนแพทย์แปลกใจ ในระยะเวลา 8 เดือน JANE ก็หายสนิท และในช่วงนั้นอาการเบาหวานก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ PHYLLIS สุภาพสตรีอายุ 80 กว่า หกล้มขาหัก เนื่องจากอยู่ในวัยชราแพทย์ผู้รักษาจึงไม่ให้ความหวังแต่อย่างใด พี่สาวไปพบเข้าก็เกิดความสงสารจึงถามว่าจะลองดูไหม แต่จะมาฟ้องร้องกันทีหลังไม่ได้ ข่าวที่ JANE หายอย่างรวดเร็วแพร่ไปทั่วหมู่บ้าน  PHYLLIS จึงตกลงที่จะลอง ครั้งนี้พี่สาวให้รับประทานแบบแคปซูลวันละ 8 เม็ด อาการหายเป็นปกติภายในเวลา 6 เดือน เดือนมิถุนายน  2006 ผู้เขียนไปเยี่ยมพี่สาวที่ฟลอริด้า 

เธอได้เดินทางมาขอบคุณผู้เขียนด้วยตัวเอง  และคุยอวดว่าขณะนี้เธอสามารถไปเล่นโบว์ลิ่งได้ทุกอาทิตย์อีกด้วย

ปัจจุบันในหมู่บ้านแห่งนี้มีผู้ป่วยกระดูกหัก และหายเพิ่มขึ้นอีกหลายคน ถ้าท่านมาเที่ยวจะรู้สึกประหลาดใจที่เห็นต้นมะรุมปลูกอยู่หลายครัวเรือน เดือนพฤศจิกายน 2549 คุณลออวรรณ  ศรีกรานนท์  แจ้งมาว่า ท่านศาสตราจารย์                              ดร.แมนรัตน์  ศรีกรานนท์  ประสบอุบัติเหตุล้มฟาดบนพื้นซีเมนต์ลานจอดรถของศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง ท่านได้รับบาดเจ็บใบหน้าซีกหนึ่งบวม และแตก แขนและเข่าแตกเป็นแผลลึกเนื่องจากท่านมีโรคเรื้อรังประจำตัวคือ เบาหวาน 

จึงเป็นที่หวั่นวิตกของทุกคนในครอบครัวว่า บาดแผลอาจจะลุกลามแต่เนื่องจากมีน้ำมันมะรุมเป็นยาสามัญประจำบ้านจึงได้รีบมาทาแผล ผลปรากฏว่าแผลที่ใบหน้าหายภายใน 3 วัน ส่วนแผลที่แขนและหัวเข่าหายภายใน 10 วัน

                                

 มะรุมกับการรักษาโรคความดันโลหิตและเบาหวาน

      มีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับโรคเบาหวานและมีผู้รับประทานเป็นจำนวนมากยืนยันว่า

 ความดันโลหิตอยู่ในภาวะควบคุมได้

 มะรุมกับการรักษาโรคเก๊าท์

       โรคเก๊าท์เป็น ผู้ติดตามคุณย่าของผู้เขียน  เสียชีวิตด้วยโรคเก๊าท์  ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่หลายคนวิตก    โดยเฉพาะในอเมริกามีคนเป็นโรคนี้กันมาก  วันหนึ่งคนเช่าบ้านของผู้เขียนเป็นชาว TRINIDAD    ชื่อ CLEO LEWIS

 เกิดมีอาการปวดบวมด้วยโรคเก๊าท์จนเดินไม่ได้ และทรมานมากจนแทบทนไม่ไหว  ขณะนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว                      ประกอบกับเธอไม่มีประกันสุขภาพ  ผู้เขียนจึง ตัดสินใจใช้น้ำมันมะรุมทาให้ในคืนนั้น และให้รับประทานเม็ดมะรุม 4 เม็ด 3 เวลาและก่อนนอน ปรากฏว่าโรคเก๊าท์หายไปใน 3 วัน

                                

  มะรุมรักษาโรคเอดส์

         AIDS: Artemisia Annua Amanes ( A.3) and Moringa     เราได้รับข่าวมหัศจรรย์จากเมืองมูโซมา                          ประเทศแทนซาเนีย  Africa Inland Church ใน                                 Tanzania (AICT)  ซึ่งมีศูนย์สุขภาพท้องถิ่นที่มีแพทย์ชาวแทนซาเนียเป็นผู้ดูแล  ชื่อคุณหมอ Feleshi กับพยาบาลชาวเยอรมันชื่อ Maike Ettling  ทำการช่วยเหลือกลุ่มคนที่กำลังเป็นโรคเอดส์  ที่เรียกตัวเองว่า เผ่า Kazo Roho

ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พวกเขาได้ทำการรักษาคนไข้โรคเอดส์มากกว่า 100   คนโดยใช้ชา Artemisia Annua และมะรุมร่วมด้วยการดูแล  อย่างใกล้ชิด ด้านจิตใจ อารมณ์  และสังคมของผู้ป่วย  ผู้ป่วย 5 คนที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นผู้ที่ได้เปลี่ยนจาก HIV - และแต่ละกรณีได้รับการยืนยัน

 ตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน  มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้

ถึงแม้ว่าคนป่วยจะได้รับการรักษาจนหายจากโรคเอดส์แล้ว

เขาก้ยังคงมี HIV+ อยู่อย่างเดิมดังนั้น ผลการรักษาครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์และลึกลับมากสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ

สุขภาพของคนป่วยทุกคนดีขึ้นอย่างมาก  น้ำหนักเพิ่มขึ้น และสุขภาพโดยทั่วไปแข็งแรงขึ้น และผลกาตรวจ CD4 cell count ก็เพิ่มขึ้น หมอและพยาบาลได้ใช้การรักษาด้วยวิธีเพิ่มภูมิต้านทานให้คนไข้โรคเอดส์ที่ Musoms  คุณหมอได้ใช้วิธีเทดียวกันนี้และยาสมุนไพรธรรมชาติรักษาโรค ตั้งแต่ ไอ นอนไม่หลับ  ปวดศรีษะ  และโรคต่างๆ และหมอยังให้ความช่วยเหลือด้านอารมณ์ และจิตวิญญาณของคนไข้อย่างมาก  คนไข้ # 1 C.M.   อายุ  62 ปี  มีภรรยา 3 คน                                และเมื่อพบว่าตงเองเป็น HIV+ ได้ทิ้งภรรยาทั้ง 3 ไว้ที่หมู่บ้าน เพื่อไปรักษาตัว จาก HIV test ในปี 2002  ที่ AICT

 ศูนย์สุขภาพได้ผลบวก (จากการตรวจ 2 แบบCapillar

(เจาะเลือด) และ Determine (การวินิจฉัยของแพทย์))

อาการขณะนั้น :  เริ่มใช้ A-3, มะรุม และเม็ด pawpaw

       อาการทั่วไปเริ่มดีขึ้น ตรวจดูอีกครั้งในปี 2003 (AICT

ศูนย์สุขภาพ)   ผล: บวก  ตรวจอีก 3 ครั้งในเดือนมีนาคม 2004 (1.AICT ศูนย์สุขภาพ 2. DDH Bunda 3.โรงพยาบาลของรัฐ, Musoms)  ทั้ง 3 ครั้งได้ผล : ลบ

      คนไข้ # 2 T.C.  เสียชีวิตในปี 2004 ด้วยปัญหาเกี่ยวกับหัวใจเมื่ออายุ 45 ปี อย่างไรก็ตามเธอเป็นตัวอย่างที่ดี ผลกการรักษาทำให้เธอเป็น  ผลลบ  แต่งงานและสามีเสียชีวิตปี 2000 มีบุตรธิดารวม 5 คน  ตรวจที่ ร.พ. Musoma Government Hospital  ปี 2001 ผลบวก  เริ่มมารักษาที่ Kaza Roho ในปี 2003  เริ่มทำงานที่กระทรวงสาธารณสุขในเขต Mara &  Ukerewe โดยการไปเยี่ยมคนไข้ตามบ้าน เริ่มใช้ยา A-3 และมะรุม  ตรวจที่ศูนย์สุขภาพ AITC  ในปี  2002 ก.พ. 2003 และ มิ.ย. 2003 ตรวจเลือดและหมอวินิจฉัยทั้ง 3 ครั้ง ได้ผลลบวก ตรวจอีกครั้ง ก.ย. 2003 ที่ศูนย์สุขภาพ Muaoms - ผลลบ ตรวจอีกครั้งที่ Muhmbili/ dar, Musoma  Government Hospital อีก 2 ครั้ง ผลทั้งหมดเป็นลบ

          คนไข้ # 3 N.M. อายุ  25 ปี  แต่งงานปี 2004   เป็นพยาบาลและผดุงครรภ์  ทำงานที่ศูนย์สุขภาพ Bunda AICT จนถึงปี 2004 ตรวจ ธ.ค. 2003 ที่ศูนย์สุขภาพ Bunda AICT  ผลบวก เริ่มใช้  A-3, กระเทียม  และมะรุม

ตรวจอีกครั้งที่ศูนย์สุขภาพ AITC มี.ค.  2003 - ผลบวก

ตรวจอีกครั้ง ก.ค. 2004 ผล : ลบ

          คนไข้ # 4 S.M.  ตรวจปี 2002 ที่ศูนย์สุขภาพ AICT เมือง Musoms ผล : บวก เป็นวัณโรคในปี 2002

เริ่มรับ A-3 และมะรุม 6 เดือนหลังจากนั้นอาการโดยทั่วไปดีขึ้นมากตรวจอีกครั้ง ก.ย. ที่ศูนย์สุขภาพ AICT ผล  :ลบ

ตรวจในปี 1999  โดยวิธี Capillars (ตรวจเลือด) (โดยได้ไปบริจาคเลือดที่ศูนย์สุ

หมายเลขบันทึก: 264441เขียนเมื่อ 29 พฤษภาคม 2009 22:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 20:41 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท