ลักษณะของวัยรุ่นกับอีคิว


สื่อการเรียนรู้...มศว มศวกับสังคม เปิดโอกาศให้คนเรียนรู้ได้ตลอดเวลา

          วัยรุ่นเคยถูกระบุว่า เป็นวัยพายุบุแคมที่มีอารมณ์แปรปรวนมาเป็นเวลานาน แต่ในปัจจุบันนักจิตวิทยาศึกษา พบว่า ในชีวิตประจำวันโดยทั่วๆ ไป วัยรุ่นไม่ได้มีอารมณ์ที่แกว่งขึ้นๆ ลงๆ มากไปกว่าวัยเด็ก แม้ว่าวัยรุ่นจะมีอารมณ์ทางลบในระดับอ่อนๆ บ่อยกว่าเด็ก วัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องจัดการกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย การเปลี่ยนแปลงเรื่องความสามารถในการคิด ข้อเรียกร้องของครอบครัวและสังคมที่ให้วัยรุ่นมีความรับผิดชอบมากขึ้นและมีบทบาทแบบผู้ใหญ่มากขึ้น ซึ่งวัยรุ่นส่วนมากสามารถจัดการกับข้อเรียกร้องเหล่านี้ได้ แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ถ้าวัยรุ่นจะรู้สึกเศร้า วิตกกังวล และหงุดหงิดบ้างเป็นบางครั้ง ดังนั้นวัยรุ่นจึงสมควรต้องพัฒนาอีคิวของตน เพื่อให้สามารถจัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างมีสภาพจิตใจที่เป็นสุข และรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้
          เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงทีสำคัญของวัยรุ่นในเรื่องความสามารถทางการคิดหรือสติปัญญา วัยรุ่นมีพัฒนา การทางการคิดถึงขั้นสูงสุด (Formal Operations Stage) คือสามารถคิดในเชิงนามธรรม คิดแก้ปัญหาเชิงวิทยาศาสตร์ สามารถตั้งสมมติฐานที่เกินกว่าสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาได้ และสามารถแก้ปัญหาในลักษณะที่มีการวางแผน และดำเนินทดสอบสมมติฐานอย่างเป็นระบบ ลักษณะเช่นนี้เป็นการเตรียมพร้อมให้วัยรุ่นคิดหาเอกลักษณ์ของตนเองได้ ให้วัยรุ่นคิดอย่างซับซ้อนเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ทางสังคม และเข้าใจผู้อื่นได้ จากความสามารถทางการคิดที่เพิ่มขึ้น ทำให้วัยรุ่นตั้งคำถามเกี่ยวกับทุกๆ สิ่ง ตั้งแต่ว่าทำไมพ่อแม่จึงตั้งกฎต่างๆ ให้เขาทำ จนกระทั่งว่าทำไมจึงมีความไม่ยุติธรรมในโลกนี้ คำถามเหล่านี้ อาจนำไปสู่ความสับสน และบางครั้งก็เกิดการต่อต้านในความคิดที่เขาเห็นว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอ จะเห็นได้ว่า วัยรุ่นจะถามหาเหตุผลจากพ่อแม่มากกว่าในวัยเด็กๆ เขาจะเห็นคล้อยตามเมื่อเขารู้สึกว่าพ่อแม่ใช้เหตุผลกับเขา ซึ่งก็เป็นเวลาที่ดีที่วัยรุ่นจะเรียนรู้โลกอย่างใช้เหตุผล แต่การที่วัยรุ่นพยายามสร้างโลกที่สมบูรณ์แบบ ทำให้ลืมความเป็นไปได้ในชีวิตจริง หรือความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ตอนนี้จึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่เห็นโลกมามากกว่าจะอธิบายโลกในความเป็นจริงให้แก่วัยรุ่น แต่ต้องทำในลักษณะที่ไม่ชี้นำมากไป เพราะวัยรุ่นต้องการความเป็นตัวของตัวเอง ตัดสินใจด้วยตัวเอง
          นักจิตวิทยาท่านหนึ่งกล่าวว่า ความสามารถในการคิดถึงขั้นสูงสุดของวัยรุ่นดังที่กล่าวมานำไปสู่ "การยึดตนเอง เป็นศูนย์กลางของวัยรุ่น" (Adolescent egocentrism) โดยปกติการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางจะมีสูงในวัยเด็ก แต่มีในลักษณะที่ว่าเด็กเล็กไม่สามารถหรือสามารถน้อยที่จะเข้าใจมุมมองของผู้อื่นว่าอาจแตกต่างไปจากของตนได้ ต่อมาเมื่อเด็กโตขึ้น ลักษณะการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางจะลดลง เนื่องด้วยเด็กมีพัฒนาการทางการคิดสูงขึ้น เด็กเข้าใจได้ว่า คนอื่นสามารถคิดแตกต่างไปจากตน แต่การยึดตนเองเป็น ศูนย์กลางในวัยรุ่นนี้มีสองลักษณะที่ต่างออกไป
          ประการแรก วัยรุ่นจะรู้สึกว่าคนอื่นๆ สนใจเรื่องของเขา คอยดูการกระทำของเขาอยู่ เหมือนกับเขาเป็นผู้แสดงที่มีผู้ชมคอยดูอยู่ เช่น เมื่อเขามีสิวเม็ดโตที่ใบหน้าสักหนึ่งเม็ด เขาก็คิดว่าทุกคนในห้อง หรือคนที่เดินผ่านไปมาจะมองที่สิวเม็ดนี้ของเขา เขาก็จะก้มหน้าก้มตาเพราะความอาย แต่ในความเป็นจริง ถ้าเป็นวัยรุ่นด้วยกัน เขาก็จะสนใจตนเองเป็นส่วนมากเช่นเดียวกัน หรือถ้าเป็นผู้ใหญ่ เขาก็มักสนใจในเรื่องของตนเอง สนใจว่าจะทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จได้อย่างไร จะทำอย่างไรให้แฟนรัก จะทำอย่างไรให้พอกิน ตอนนี้ลูกอยู่ บายดีหรือไม่ เขาจะไม่ใส่ใจเรื่องของคนอื่น หรือสนใจก็เพียงชั่วขณะ วัยรุ่นจึงไม่จำเป็นต้องระแวงว่าใครจะมาสนใจหรือจับผิดตน นอกจากนี้การที่วัยรุ่นคิดว่าคนอื่นสนใจเรื่องของตน ก็ทำให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมเรียกความสนใจของคนอื่น ต้องการให้เป็นที่สังเกตเห็นของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวหรือการแสดงออก
          การยึดตนเองเป็นศูนย์กลางอีกลักษณะหนึ่งคือ การเห็นว่าตนเองมีลักษณะเฉพาะ มีเรื่องราวในชีวิต มีความรู้สึกนึกคิดที่เป็นเฉพาะของตนแตกต่างไปจากคนอื่น วัยรุ่นจึงมักคิดว่าคนอื่นไม่เข้าใจตน พ่อแม่ไม่เข้าใจความรู้สึกของตน การกระทำของพ่อแม่บางประการ ก็อาจช่วยตอกย้ำให้วัยรุ่นคิดทำนองนี้ได้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วพ่อแม่หรือผู้อาวุโสกว่าก็ได้ผ่านประสบการณ์เช่นเดียวกับวัยรุ่นมาก่อน เคยคิดอย่างเดียว กับที่วัยรุ่นคิด เพียงแต่การกระทำด้วยความหวังดีของพ่อแม่อาจไม่สอดคล้องกับลักษณะของวัยรุ่นที่ต้องการความอิสระเป็นตัวของตัวเองก็ได้ จึงทำให้วัยรุ่นคิดว่าคนอื่นไม่เข้าใจตน นอกจากนี้วัยรุ่นพยายามคงความคิดว่า ตนมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร โดยการจินตนาการเรื่องราวเพ้อฝันของตัวเองที่ห่างไกลจากความเป็นจริง ซึ่งเห็นได้จากการเขียนไดอารี่ของวัยรุ่น
          นักจิตวิทยาบางคนเชื่อว่า การยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของวัยรุ่น อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของพฤติกรรมไม่ไตร่ตรอง เช่น การใช้ยาเสพติด การคิดฆ่าตัวตาย การไม่คุมกำเนิดเมื่อมีเพศสัมพันธ์ จากการศึกษานักเรียนหญิงชั้นมัธยมปลายของต่างประเทศที่มีลักษณะการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางสูง จะประมาณการณ์การตั้งครรภ์ของตนเองถ้าไม่คุมกำเนิดไว้ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับวัยรุ่นที่ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางน้อยกว่า จากงานวิจัยนี้อาจเป็นไปได้ที่ว่า วัยรุ่นคิดว่าสิ่งที่เกิดกับคนอื่ อาจไม่เกิดกับตน ชีวิตตนไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น ตนจะไม่โชคร้ายเหมือนคนอื่น การคิดในลักษณะว่าเรื่องราวของตนเองจะไม่เหมือนใคร การคิดทำนองนี้ของวัยรุ่นทำให้วัยรุ่นหลงไปกับจินตนาการของตนเองได้ ถ้าวัยรุ่นเข้าใจลักษณะของวัยและตระหนักว่า เมื่อผ่านพ้นวัยรุ่นไปแล้ว การยึดตนเองเป็นศูนย์กลางแบบนี้จะลดความสำคัญลงไป วัยรุ่นควรพยายามไตร่ตรองเวลาคิดหรือทำให้รู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ของตน ทำให้วัยรุ่นอยู่ในโลกของความเป็นจริงมากขึ้น
          วัยรุ่นเป็นวัยเชื่อมต่อระหว่างความเป็นเด็กกับวัยผู้ใหญ่ เป็นวัยแห่งการค้นหาเอกลักษณ์ของตน การค้นหาส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับเรื่องอาชีพ วัยรุ่นบางคนอาจจินตนาการว่า ตนเป็นนักกีฬามีชื่อเสียง เป็นศิลปินที่เก่ง เป็นนักเขียนมีชื่อ ผู้มีอีคิวจะสามารถใช้อารมณ์ของตนช่วยเสริมการคิด การทำงานให้ประสบความสำเร็จได้ วัยรุ่นสามารถใช้พลังแห่งความทะเยอทะยาน พลังแห่งอารมณ์ และความพยายามที่จะค้นหาเอกลักษณ์ของตนที่มีมากในวัยนี้ให้ไปในทิศทางที่จะเกิดประโยชน์เพื่อไปสู่ฝันในชีวิตได้ วัยรุ่นควรผันพลังแห่งจินตนาการและอารมณ์ของตนไปสู่การกระทำ โดยการเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยทดสอบความถนัด และความสนใจของตนในเรื่องอาชีพ หรือแม้แต่สร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ ขึ้นมาด้วยตนเอง ถ้าครูหรือพ่อแม่เข้าใจลักษณะวัยรุ่นในเรื่องนี้ ก็จะเป็นโอกาสอันดีที่จะส่งเสริมให้วัยรุ่นใช้พลังของตนไปเพื่อแสวงหาอาชีพที่เขาถนัดและสนใจ โดยสนับสนุนให้เข้าร่วมกิจกรรม หรือแม้แต่ทำงานเพื่อหาประสบการณ์เพื่อฝึกทักษะ เพื่อให้มีเจตคติที่ดีต่อการทำงาน และยังได้รายได้เสริมอีกด้วย
          วัยรุ่นเป็นวัยที่มีความสนใจในเพศตรงข้าม วัยรุ่นอาจหมกมุ่นกับรูปร่างหน้าตา การแต่งกายของตน ต้องการให้ดูดี และอาจย้ำคิดเรื่องของคนที่ตนพอใจ ทำให้ต้องใช้เวลาไปกัเรื่องนี้มาก และอาจกินเวลาของการเรียนได้ ถ้าเกิดความผิดหวังในเรื่องความรัก วัยรุ่นซึ่งมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งรุนแรงในความรักของตนอยู่แล้ว ก็อาจกระทำการลงไปโดยขาดการไตร่ตรอง เช่น ทำร้ายตัวเองหรือทำร้ายผู้อื่นได้ การให้วัยรุ่นเรียนรู้เรื่องความเป็นจริงของชีวิตและโลก จะเป็นการเพิ่มปัญญาให้วัยรุ่นได้ใช้พิจารณา และควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกของตน ซึ่งเป็นลักษณะของผู้ที่มีอีคิว วัยรุ่นต้องการการชี้แนะโดยวิธีการที่วัยรุ่นยอมรับได้ อาจไม่ใช่การสอนกันโดยตรง แต่สอนเป็นนัยๆ จากพ่อแม่และอาจเรียนรู้ด้วยตนเอง จากการได้ฟังได้เห็นจากแบบอย่างเรื่องที่ใกล้เคียงกับตน จากการอ่านหนังสือ จากการดูภาพยนตร์ ก็อาจทำให้วัยรุ่นได้กลับมาคิดคำนึงถึงเรื่องของตัวเองได้
          ในช่วงวัยรุ่นเพื่อนจะมีความหมายต่อเขามาก เขาจะใช้เวลากับเพื่อนมากกว่าในวัยเด็ก วัยรุ่นอาจทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายอย่างเนื่องจากอิทธิพลของเพื่อน เช่น การใช้สารเสพติด การเที่ยวกลางคืน การซื้อสินค้าราคาแพง วัยรุ่นที่มีอีคิวย่อมเข้ากับเพื่อนได้ดี เพราะเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น แต่ผู้ที่มีอีคิวดีจะต้องเข้ากับตนเองได้ด้วย ไม่ทำอะไรที่สนองความต้องการของเพื่อน โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของตนเองหรือทำให้ตนเองเดือดร้อน กลุ่มเพื่อนมีได้หลายแบบ แต่ไม่ใช่ว่ากลุ่มเพื่อนจะมีอิทธิพลทางลบเสมอไป กลุ่มเพื่อนที่แนะนำในสิ่งดี กลุ่มองค์กรวัยรุ่น เพื่อทำประโยชน์ เช่น กลุ่มสร้างสรรค์ทางการเมือง กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดังนั้นอิทธิพลของเพื่อนจะเป็นไปอย่างสร้างสรรค์หรือทำลาย ขึ้นกับว่าวัยรุ่นไปเข้ากับกลุ่มใด แม้ว่าวัยรุ่นจะเชื่อพ่อแม่น้อยลงและเชื่อเพื่อนมากขึ้นในช่วงวัยรุ่นตอนต้น ๆ แต่ต่อมาวัยรุ่นก็จะเชื่อเพื่อนน้อยลง เขาจะลดการพึ่งพาทั้งพ่อแม่และเพื่อน และสามารถตัดสินใจเลือกด้วยตนเองมากขึ้น อย่างไรก็ตามพ่อแม่ก็ยังคงมีอิทธิพลต่อวัยรุ่นมากกว่า ที่เราเคยคิดกัน เพื่อนมีอิทธิพลต่อวัยรุ่นในเรื่องกิจกรรมทางสังคมและเรื่องรสนิยม แต่พ่อแม่ก็ยังคงเป็นผู้ช่วยปรับแต่งแผนการศึกษาและอาชีพ ตลอดจนค่านิยมที่สำคัญๆ และถ้าวัยรุ่นมีความผูกพันใกล้ชิดกับพ่อแม่ที่อบอุ่น รัก สนับสนุน สร้างมาตรฐานและควบคุมพฤติกรรมของลูก วัยรุ่นคนนั้นก็มักจะเป็นคนที่มีความสามารถในเชิงวิชาการ ในทางสังคม และซึมซับค่านิยมที่ดีของพ่อแม่ไว้

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 26395เขียนเมื่อ 2 พฤษภาคม 2006 10:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 19:27 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท