เมื่อความกลัววิ่งเข้ามาหา เขียนโดย ดอกไม้หน้าผา
|
บางที่เราก็อาศัยความกลัวในการขับเคลื่อนพลังภายในให้ก่อเกิดการผลักดันไปสู่การตื่นรู้ ความกลัวมีรากฐานมาจาก “ความไม่รู้” และโดยเบื้องลึกมนุษย์นั่นต้องการที่จะรับรู้ความจริง ความจริงคือสิ่งใหม่ที่เรายังสามารถเข้าไปสัมผัสได้ แต่เราก็มักจะพูดกันว่า แท้จริงแล้ว ในโลกกลมๆใบนี้มีความจริงด้วยเหรอ มนุษย์มีความสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ที่มีประโยชน์มากมายและย่อมมีการสร้างพื้นที่ของความซับซ้อนความขมุกขมัวมั่วได้เช่นกัน เรามีความไม่รู้เยอะมากในการดำรงชีวิตประจำวัน เสียงต่างๆที่เข้ามาในการรับรู้ของเราโดยส่วนมากก็ถูกปั่นแต่งด้วยจิตของเราแล้วทันที แต่การรับรู้ที่ไม่ตรงไปตรงมาทำให้เราเกิดไม่รู้มากมาย เรามักจะหลับในขณะที่เราต้องการจะพักสายตา ในขณะที่เราหลับตาลงภาพก็เลื่อนหายไปการทำงานของสมองเหมือนจะหยุดประมวลผลการรับรู้ไปขณะหนึ่ง เราต้องเหนื่อยกับการรับรู้ที่คลาดเคลื่อนมากมาย เราเห็นคนหน้าบูดหน้าเบี้ยวเราก็ได้ประมวลผลเขาไปเรียบร้อยแล้วว่าอย่างนู้นอย่างนี้ แต่คนที่รับรู้ความรู้สึกนั้นอย่างตรงไปตรงมาก็เป็นคนที่กำลังแสดงปฏิกิริยาหน้าบูดหน้าเบี้ยวนั่นเอง แต่หากการตัดสินหาข้อสรุปในปฏิกิริยาของผู้อื่นนั่นหาใช่สิ่งที่ผิดหรือไม่ดีเพราะมันเป็นอัตโนมัติของการทำงานทั้งทางกายภาพ เรามักคุ้นชินกับการทำสมาธิไปพร้อมกับการหลับตาอันนี้เราทำกันมาจนเป็นเหมือนธรรมเนียมปฏิบัติไปโดยปริยาย เมื่อสมองขาดการรับรู้ทางโสตประสาทตาภาพความช้าอาจจะบังเกิดขึ้น เราได้มีเวลาใคร่ครวญมากขึ้นมีเวลาที่ได้กลับมาอยู่กับการรับรู้ในทางอื่นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการรู้สึกผ่านลมหายใจ สัมผัสทางกายก็ดีล้วนแล้วแต่เป็นการเรียกสติให้กับมามีความรู้เนื้อรู้ตัว เป็นปัญญาที่ไม่ต้องพยายามคิด ในชีวิตประจำวันเราต้องเผชิญกับความไม่รู้มากมายอยู่แล้ว เมื่อเราเกิดความกลัวหรือความไม่รู้มันได้กลับกลายเป็นเหมือนการส่งรูปแบบพลังงานที่ต้องการคำตอบที่เหมือนตัวต่อเลโก้ที่ต้องรูปทรงที่เข้ารูปเข้ารอยกันพอดีๆพลังตรงนี้แหละที่เราได้ส่งออกไปในเวิ้งอากาศอยู่สม่ำเสมอ อันนี้พอจะเป็นเหตุผลได้ไหมว่ามนุษย์หาใช่ต้องการดำรงอยู่ในความกลัวเสมอไป เพียงแต่ความเข้าใจในการตระหนักรู้การรู้เท่าทันมิอาจจะบังเกิดขึ้นได้ในขณะที่เรากิจวัตรชีวิตประจำวัน แล้วเราก็ปลดปล่อยรูปแบบพลังแบบนี้ไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย มันเป็นความอัตโนมัติที่เร่งรีบเรามองเพียงสิ่งที่กระทบเข้ามาในโสตประสาทภายนอกกันอย่างลวกๆ โดยลืมใส่ใจกับการรับรู้ด้วยจิตใจของเรามานานแสนนานรึเปล่า สิ่งเหล่านี้แหละที่เป็นเหมือนการโยนก้อนหินถามทาง และการคล่ำทางไปหาไฟฉายเพื่อจะนำมาส่องทางที่อยู่ข้างหน้าของเราให้สว่างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พลังงานอาจจะสูญเสียไปโดยใช่เหตุรึเปล่า เรายังดำรงอยู่ท่ามกลางพลังงานของธรรมชาติต้นไม้ อากาศธาตุ แต่เราจะนำพลังเหล่านี้มาใช่เพื่อให้เกิดการไหลเลื่อนในตนเองได้อย่างไร บทความจาก http://www.wongnamcha.com |
ไม่มีความเห็น