สภามหาวิทยาลัย ได้อนุมัติเงินจำนวน ๘ ล้าน (ถ้าจำไม่ผิด) เพื่อพัฒนาพนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการ ปีการศึกษานี้ ทางฝ่ายบริหารเปิดทางการศึกษาดูงานหลายประเทศ แต่ประเทศที่มีผู้เลือกมากที่สุดคือ ประเทศจีน และประเทศเกาหลี
อันที่จริง ผมหมายตาไว้ที่ประเทศพม่าคือ "พุกาม" แต่ไม่มีใครเลือก ผลก็เลยต้องงด ผมตัดสินใจที่จะไม่ไปไหน ด้วยมีภาระบางอย่างและมีความคิดบางอย่าง ยอมรับว่า ๒ ใจอยู่นาน กับการไปดีหรือไม่ไปดี และตัดสินใจที่จะไม่ไป ภาพหนึ่งที่มันติดตาผม ในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาคือ การไปศึกษาดูงาน คือเครื่องมือสำหรับการเขียนโครงการเพื่อให้ได้มาซึ่งงบประมาณหรือไม่ ผมเห็นพี่ๆข้าราชการบางคน ที่ไปศึกษาดูงาน (พนักงานและข้าราชการจะสลับกันไปคนละปี แต่พี่ๆข้าราชการบางท่านก็ได้ไปทุกปี) เมื่อกลับมาแล้ว ต่างเอารูปถ่ายมาโชว์ว่าตรงนี้สวย ตรงนั้นสวย โอโห ฝรั่งนี่นะ อย่างนี้ อย่างนั้น นี่ดู ไปถ่ายรูปมาแล้ว แดจังกึม ทำให้ผมรู้สึกว่า อืม.....และตกลงใจว่า อย่าไปคิดอะไรมาก ไม่ได้งานอะไรมาตามโครงการ ถือเป็นการผ่อนคลายกับการกรำงานมาตลอดปี
คืนนี้ เพื่อนๆพนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการต้องเดินทางออกจากประเทศไทยไปเกาหลี ปีก่อนโน้น ต้องเสียเงินตามเกณฑ์ แต่ปีนี้ทางฝ่ายบริหารรักษาการมหาวิทยาลัย ให้ไปฟรี กินฟรี พักฟรี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ยกเว้นเรื่องส่วนตัว หากนับช่วงของสวัสดิการ ที่มหาวิทยาลัยให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยด้วยสัดส่วนใหญ่ๆ นั้นจะได้ดังนี้
๒๕๔๗ มหาวิทยาลัยให้โบนัสพนักงาน คนละ ๗ พันบาท สำหรับผู้ทำงานมาครบ ๑ ปีเต็ม
๒๕๔๘ มหาวิทยาลัยให้พนักงานไปศึกษาดูงานประเทศสิงคโป (เฉพาะผู้ทำงานครบ ๓ ปี)
๒๕๕๐ มหาวิทยาลัยให้พนักงานทุกคนไปศึกษาดูงานที่ประเทศเวียดนาม (ไม่จำกัดอายุทำงาน)
แต่โครงการการศึกษาดูงานดังกล่าว พนักงานที่ต้องการจะไป ต้องจ่ายเงินสมทบจำนวนหนึ่ง ส่วนปีการศึกษานี้ ๒๕๕๒ ฟรีทุกรายการ ยกเว้นเรื่องส่วนตัว ข้อแตกต่างคือ ๓ ปีที่กล่าวข้างต้น อยู่ภายใต้การบริหารของกลุ่มบริหารชุดเก่า ส่วนปี ๒๕๕๒ นี้ อยู่ภายใต้รักษาการซึ่งไม่มีชุดเก่าอยู่เลย กล่าวได้ว่า นับเป็นความกรุณายิ่งที่ให้พนักงานมหาวิทยาลัยได้ไปเปิดหูเปิดตา เพราะพนักงานจำนวนหนึ่ง หากมหาวิทยาลัยไม่จัดการให้ คงไม่มีโอกาสได้ไปเหยียบต่างประเทศอย่างที่หลายๆคนใฝ่ฝันที่จะไป
วันนี้ขณะปั่นจักรยานเพื่อออกไปหาอะไรประทังชีวิต มีเพื่อนพนักงานสายสนับสนุนขับจักรยานยนต์ผ่านมาและแซวกระเป๋าสะพายด้านหลังของผมว่า "นี่กระเป๋าไปต่างประเทศหรือ" ผมก็หัวเราะยิ้มให้ตามประสาคนไม่ค่อยชอบที่จะพูด เพื่อนพนักงานขับจักรยานผ่านเลยไป ทำให้ผมฉุกคิดอะไรบางอย่าง เราทำงานในที่ทำงานองค์กรเดียวกัน แต่ทำไมไม่เหมือนกัน พนักงานสายสนับสนุนไม่ได้ไปต่างประเทศด้วย แต่พนักงานสายวิชาการได้ไปต่างประเทศ เขาแซวเราเพราะมิตรภาพหรือว่ากระแซะหนอ เพราะผมคือ ๑ ชีวิตบนสภามหาวิทยาลัยที่มีส่วนในการอนุมัติตามที่ฝ่ายบริหารเสนอมา ถ้าแซวเพราะมิตรภาพก็ไม่เป็นปัญหา เพราะผมไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับพนักงานด้วยกัน แต่ถ้าแซวเพราะกระแซะ ก็ให้รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน เพราะผมก็ไม่ได้ไป ตลอดที่ทำงานมา ทั้ง ๗ พัน สิงคโป เวียดนาม และครั้งนี้คือเกาหลีหรือจีน
ทำให้นึกถึง คำของพนักงานสายวิชาการสมัยหนึ่งว่า ทำไมให้พี่ๆข้าราชการไปยุโรป แต่ให้พวกเราไปแถบใกล้ๆนี้เอง กรณีนี้น่าจะประมาณนั้นหรือไม่ พนักงานมหาวิทยาลัยเหมือนกัน ทำไมจึงไม่เหมือนกัน เขียนมาถึงตรงนี้ เอ๊ะ หัวข้อวิทยานิพนธ์ที่เพิ่งผุดขึ้นมาเมื่อ ๒ วันก่อน มันมีความหมายอยู่เหมือนกันนะที่ว่า "ความยุติธรรมในพุทธปรัชญาเถรวาท" ปัญหาคือ เส้นกลางของความยุติธรรมอยู่ตรงไหน พุทธปรัชญามองเรื่องนี้อย่างไร
หรือว่า ผมคิดมากไปกับการที่เขาทักว่า กระเป๋าไปต่างประเทศหรือ ทั้งที่กระเป๋านั้นก็ไม่ใช่กระเป๋า เป็นถุงมีหูรูดกว้างประมาณกระดาษ a4 อันที่จริงใครๆเขาไม่สะพายกันหรอก มีก็แต่ผมนั่นแหละ
เมื่อสองวันก่อน มีการประชุมกรรมการสรรหาคณบดี มีหลายคนที่พูดว่า ควรชะลอการไปต่างประเทศก่อน เพราะมีเรื่องการสรรหาคณบดีที่ต้องรีบดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนเปิดเทอม อีกอย่างหนึ่ง ช่วงนี้เป็นช่วงอันตราย หากติดใข้หวัดประหลาดมาจากต่างประเทศแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่สามารถทัดทานได้ เพราะผู้จัดทัวร์รับประกันความปลอดภัย และไม่มีใครสละสิทธิ์ (สละไม่ได้ ใครทีลงชื่อว่าจะไป หากถอนชื่อ ต้องชดใช้เงินให้กับมหาวิทยาลัย)
ดูเหมือนเพื่อนของผมแต่ละคน กระตือรือร้นที่จะได้ไปต่างประเทศ ให้นึกถึงมหาวิทยาลัยราชภัฎอื่นๆ ไม่รู้ว่า บุคคลผู้ทำงานให้มหาวิทยาลัยอย่างพนักงานหรือลูกจ้าง จะได้รับเหมือนกับเพื่อนๆของผมหรือไม่ หรือเขามองเพียงบุคคลที่มหาวิทยาลัยจ้างมาทำงานเท่านั้น
ขอให้เพื่อนๆ สนุกกับการเที่ยวเด้อครับ....กลับมาแล้ว หากต้องการให้โครงการสมบูรณ์จะเขียนบทความสักบทเพื่อทดแทนเงินของมหาวิทยาลัยสักนิดก็ดีนะครับ ฮาฮา
"เห้อออออออออ นี่ถ้าสอบเรียนต่อได้ จะหาเงินที่ไหนไปเรียนล่ะ คงต้องกู้หนี้ยืมสินอีกสินะ การจะเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยนี่ มันไม่มีฟรีเลย เห้ออออออออออออออ คงต้องทำงานไปเรียนไป กัดฟันไปแน่ๆ"
* ผมเป็นข้าราชการตอนนี้ยังเป็นชั้นผู้น้อยอยู่ รับราชการมา 8-9 ปี มีโอกาสได้ไปนิวซีแลนด์เมื่อกลางปีที่แล้ว... ผมมีมุมมองการไปทัศนศึกษาดูงานต่างประเทศเหมือนกับคุณในกรณีที่ คนที่ไปมิได้คำนึงถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ไปแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือ รูปภาพของฝากเท่านั้น ... บางทีก็เข้าใจว่า การให้ไปต่างประเทศเป็นการตอบแทนบุคลากรให้มีกำลังใจและมีอะไรดี ๆ บ้าง คิดต่อไปว่าจะคุ้มค่าไหม เสียดายงบประมาณรึเปล่า...
* วันนี้ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้ไปต่างประเทศมาแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่า ความเสมอภาคกันยังไม่มีครับ ผู้ใหญ่ไปกันปีละหลายรอบ ส่วนเด็ก ๆ หลาย ๆ ปีได้ไปสักรอบ หรือบางคน ไม่ได้ไปเลยถ้าผู้ใหญ่ไม่สนับสนุน
* วันนี้ ผมขออนุญาติ ผอ. เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม G2K forum เดินทางจาก กทม.ไปหาดใหญ่ ใช้งบนิดหน่อย กลับโดนปฏิเสธ เพราะมีมุมมองว่า ไม่เกี่ยวข้องกับงานด้าน HR ที่ผมทำอยู่ อย่างนี้หรือวิสัยทัศน์ผู้นำในองค์กรผม น่าสงสารนะ สงสารหน่วยงานกรุงเทพมหานคร...
สวัสดีครับ nobita
ผมเห็นด้วยกับ ข้อเสนอแนะของอาจารย์เอกตรงนี้ครับ
"องค์กรราชการอีกจำนวนมากครับ ที่ยังต้องรีบเดินให้ทัน เอาเป็นว่า แม้แต่มหาวิทยาลัย ที่เป็นขุมปัญญาความรู้ เรายังตามไม่ทันชาวบ้านเลยครับ ประมาณว่า เคี้ยวของเก่า กินของเก่ากันอยู่ แต่หลายมหาวิทยาลัย ไปได้ไกลทีเดียว น่าศึกษาปัจจัยการพัฒนามากๆ "
เมื่อวานคุยกับเพื่อนอาจารย์สองสามท่านเรื่องนี้ครับ คุยกันไปเหนื่อยใจกันไป เพราะ อนาคตที่จะมาถึง จะเป็นช่วงที่สังคมได้รับผลกระทบจาก ธุรกิจการศึกษาที่อาจารย์เอก ก็คงทราบดีว่าวิธีคิดผู้บริหารแต่ละแห่งเขาคิดอย่างไร และเขาทำกันอย่างไร?
ชมบรรยากาศการเรียนรู้ง่ายๆงามๆที่เชียงใหม่ครับ
การอบรม "การใช้บล็อก" ที่มีการใส่ "ความสุข" ลงไป ทั้งผู้ให้และผู้รับ :) ของ อ. Was ครับ
เรียน อ.เอก จตุพร