การผุดบังเกิดของขบวนการปฏิรูปการเรียนรู้ที่มหาวิทยาลัยมหิดล
คณะผู้ก่อการเขาเรียกว่า Mahidol Learning and Teaching Initiatives for the 21st Century สิ่งนี้แหละครับที่ผมตีความว่า เป็นการผุดบังเกิดของหน่ออ่อนของขบวนการปฏิรูปการเรียนรู้ที่มหาวิทยาลัยมหิดล
เราเห็นหน่ออ่อนนี้ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑ พ.ค. ๕๒ เป็นการประชุมของศูนย์จิตตปัญญาศึกษาและภาคี ที่อาคารศิษย์เก่า ที่มีวิวแม่น้ำเจ้าพระยาอันสวยงาม ของศิริราช
โชคดีที่ผมตัดสินใจเลือกมาร่วมประชุมนี้ ทั้งๆ ที่ผมมีอีกนัดหนึ่งตรงกัน เทวดาดลใจให้ผมเลือกมาประชุมที่มีคุณค่าสูงกว่า ต่อสังคมไทย คือจะดำเนินไปสู่การขับเคลื่อนขบวนการปฏิรูปการเรียนรู้ในสังคมไทย และได้เห็น “การผุดบังเกิด” (emergence) ที่เกิดจากการทำงานสร้างสรรค์แบบ supercomplexity ของจิตตปัญญาศึกษา
เรื่องมันเริ่มจากการมีขบวนการจิตตปัญญาศึกษา หรือ Contemplative Education หรือ Transformative Education เมื่อกว่า ๒ ปีมาแล้ว จนมีการตั้งเป็นศูนย์จิตตปัญญาศึกษา ไดรับเงินสนับสนุนจาก สสส. มีหลักสูตรปริญญาโท และกำลังเตรียมเปิดปริญญาเอก มีการทำงาน/ขับเคลื่อนเป็นเครือข่าย ร่วมกับจุฬาฯ, สถาบันอาศรมศิลป์, สภาการศึกษา, และอื่นๆ มีการชักชวนกันไปฝึกทักษะ ที่ถ้าไม่ได้ชวนเฉพาะตัวจะไม่มีคนสนใจ เพราะกำหนดว่าจะต้องไปครั้งละหลายวัน และจะครบหลักสูตรเมื่อไปครบ ๘ ครั้ง แต่เมื่อไปเพียงครั้งเดียวก็มีคนจำนวนหนึ่งติดใจ และเห็นคุณค่าสูงมาก เกิดการขยายเครือข่ายออกไปอีก โดยจัดการฝึกอบรมกันเอง แล้วก็มีคนรวมตัวกันไปจัดให้นักศึกษา นักศึกษาก็ติดใจอีก ก็เกิดการขยายเครือข่ายไปที่นักศึกษา
จิตตปัญญาศึกษามีดีอะไร จึงถูกใจคนจำนวนมากในมหาวิทยาลัย เพราะมันช่วยเข้าไปเสริมส่วนที่ขาดของคนมหาวิทยาลัยครับ เป็นสิ่งที่คนมหาวิทยาลัยโหยหา คือมิติของความเป็นมนุษย์ มิติทางใจ/จิตวิญญาณ ที่ช่วยให้มีทักษะในการอยู่กับตัวเอง และอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุขร่วมกัน คนมหาวิทยาลัยเก่งมากทางเทคนิคหรือวิชาการ แต่อ่อนด้อยด้านทักษะชีวิต แต่ด้วยความเป็นคนสมองไว ได้เข้าฝึกเพียงวันสองวันก็รู้ว่าใช่แล้ว นี่สิ่งที่เราโหยหา
คนที่เข้าฝึก เห็นคุณค่าของการเรียนรู้ด้านในของจิตตปัญญาศึกษา และคิดว่าจะช่วยคนอื่นที่อยู่ในสภาพยากลำบากได้ ท่านหนึ่งเอาไปทำกระบวนการฝึกกับเด็กในสถานพินิจ และกับครู (ผู้คุม?) ของสถานรอพินิจนั้น เกิดการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของเด็กเกเรเหล่านั้น หันมาร่วมกับครูเพื่อสร้างชีวิตใหม่ในสถานรอพินิจ คือเด็กที่ถูกรอลงโทษกลับหันมาสร้างบรรยากาศน่าอยู่ในสถานรอพินิจเสียเอง ฟังแล้วน้ำตาซึมครับ
สมกับเป้าหมายการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน (Transformative)
นั่นเป็นเพียง “อาหารเรียกน้ำย่อย” ครับ
“อาหารจานหลัก” ย่อมมาทีหลัง ซึ่งก็คือ Mahidol Learning and Teaching Initiatives for the 21st Century ที่เสนอโดยคณะหนุ่มสาวของมหาวิทยาลัยมหิดล
จากการเรียนรู้เพื่อเปิดปัญญาด้านในของปัจเจก สู่การรวมตัวกันเองเป็นเครือข่าย เกิดการผุดบังเกิดเป็นข้อเสนอเพื่อยกเครื่อง (reengineering) หรือปฏิรูป (reform) การเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นข้อเสนอของทีมที่รวมตัวกันเอง แล้วฝ่ายบริหารของมหาวิทยาลัย นำโดยท่านอธิการบดี ปิยะสกล และมีรองอธิการบดีอยู่ในที่ประชุม ๓ คน มีกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ๓ คน เตรียมรับลูกต่อยอดให้เป็นแผนยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัย
ผมเสนอต่อที่ประชุมว่า ให้ “เดิน ๒ ขา” คือขาไม่เป็นทางการ กับขาเป็นทางการ และสัญญาว่าจะกลับมาเขียน บล็อก ให้ข้อเสนอแนะ ซึ่งจะอยู่ในตอนหน้าครับ
วันที่ ๒ พ.ค. ๕๒ ผมพบ อ. หมอประเวศ ประธานคณะอำนวยการโครงการจิตตปัญญาศึกษา ซึ่งติดงานอื่น เข้าร่วมประชุมเมื่อวานไม่ได้ ได้เรียนท่านว่า การทำงานแบบ complexity ออกฤทธิ์ ทำให้เกิด emergence เป็นเครื่องยืนยันว่าวิธีการจัดการโครงการนี้ของ รศ. ดร. อนุชาติ พวงสำลี ทำได้เหมาะสมมาก
วิจารณ์ พานิช
๒ พ.ค. ๕๒
เรียนท่านอาจารย์คุณหมอวิจารณ์
การก้าวย่างทางการศึกษาที่ทำให้คนมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น การศึกษาแบบแข่งขันด้วยคะแนนทำให้ กระผมรู้สึกว่าระบบการศึกษาทำให้คนสร้างความมีตัวตนคือคนมีอัตตาที่ไร้ธรรมมากขึ้นสังคมจึงวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น ระบบคะแนนเป็นการประเมินความสามารถของคนที่หยาบไป จิตตปัญญาศึกษา น่าจะเป็นทางประเสริฐที่สอนให้คนพิจารณาถึงมิติของความเป็นมนุษย์ มิติทางใจ/จิตวิญญาณ มีความเคารพในศักดิ์ความเป็นมนุษย์ มองคนเข้าสู่คุณค่าความเป็นมนุษย์ ผ่านเปลือกนอก มีแนวความคิดเชิงระบบ (system thinking and perspective) หวังว่าระบบการศึกษาจะสอนให้คนมีความรู้ความสามารถและมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น เพราะมีจิตใจที่โน้มเอียงสู่ความสงบและแยกแยะด้วยปัญญา เพราะการที่สังคมมีคนที่ตายจากความเป็นมนุษย์มากขึ้น สังคมก็หายนะ หวังว่าการเปิดพื้นที่ทางปัญญานี้จะช่วยให้สังคมไทยตลอดจนสังคมโลกดีขึ้น
ด้วยความเคารพอย่างสูง
นิสิต คำหล้า