วิเคราะห์ศาสนาอื่นด้วยหลักของพุทธศาสนา


 


          ศาสนาคริสต์สอนให้ฝังดิ่งศรัทธาลงในพระผู้เป็นเจ้า โดยปราศจากข้อ สงสัย สอนให้ทำความดีมีความสุขกับการช่วยเหลือผู้อื่น ปฏิบัติตามที่พระเจ้าปรารถนา เมื่อตายแล้วจะได้รับชีวิตนิรันดรในดินแดน สวรรค์ของพระเจ้า
          พระเจ้าคือผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างและกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ฉะนั้นพระเจ้าของศาสนาคริสต์ ก็คือ สิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่า “พระธรรม” หรือ “ธรรมชาติ” เพราะธรรมชาติ คือทุกสิ่งทุกอย่าง มีกฏเกณฑ์ในตัวเอง
“ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และสัตว์” ฉะนั้น พระเจ้าก็คือสิ่งที่พุทธศาสนา เรียกว่า “อวิชชา(ความไม่รู้ความจริง)”นั่นเอง ..อวิชชาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ[11]


          “ผู้ที่ทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นเท่านั้นจึงจะได้ไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้า” ตรงกับหลักคำสอนของพุทธศาสนาว่า “ ผู้ที่ทำบุญกุศลไว้มาก ขณะที่ตายมีจิตผ่องใส เมื่อตายแล้วจะได้ไป เกิดเป็นเทวดาในสวรรค์” ต่างกันแต่..พุทธศาสนาสอนต่อไปอีกว่า เมื่อเสวยผลบุญในสวรรค์หมดแล้วก็ต้องกลับมาเกิดเป็นคนอีก.....ซึ่งเรื่องนี้ศาสนาอื่น ๆ ยังรู้ไปไม่ถึง


          “จงเปิดใจรับการเข้ามาของพระเจ้า” ตรงกับ การเจริญอนุสสติกัมมัฏฐานในพุทธศาสนา ซึ่ง สามารถทำผู้ปฏิบัติให้เข้าถึงได้เพียงขั้นจตุตถฌานเท่านั้น เมื่อตาย จะไปเกิดเพียงแค่พรหมชั้น “อสัญญี”
ถามว่า : ทำไมศาสนาคริสต์สอนว่าการได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์เป็นความสุขสูงสุดชั่วนิรันดร และสัตว์ที่ตกนรกก็ต้องตกไปชั่วนิรันดร์กาลเช่นกัน


          ตอบ : เพราะท่านศาสดาสามารถระลึกชาติได้เพียงชาติเดียว จึงเข้าใจผิดว่า ชาติหน้ามีอยู่เพียงชาติเดียว ทำให้ท่านคิดว่าผู้ที่ทำความดีจะได้อยู่ในแดนสวรรค์ชั่วนิรันดร์ ผู้ที่ทำความชั่วก็ต้องตกนรกไปตลอดกาล แท้จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่...


          พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า สัตว์ทุกชีวิตเคยเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ผู้ที่ไม่เคยเกิดเป็นพ่อแม่กันมาก่อนหาได้ยาก บางชาติเกิดเป็นเทพ บางชาติเป็นมนุษย์ บางชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางชาติเกิดเป็นเปรต/อสุรกาย บางชาติต้องตกนรก ต้องเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ตามอำนาจบุญและบาปที่ตนเองได้ทำไว้ เหตุการณ์ทุกอย่างที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ไม่มีคำว่าโชคหรือบังเอิญ ทุกอย่างเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของเราในอดีตทั้งสิ้น เมื่อเรายังต้องเกิดอีก สิ่งที่จะตามมาด้วย คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุกข์กายทุกข์ใจ ฉะนั้น วิธีที่จะรอดพ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุกข์ทั้ง ปวงได้ ก็มีอยู่เพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ “การไม่เกิดอีก”


เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ เจริญวิปัสสนาภาวนาจนบรรลุเข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน ตัดกระแสธรรมชาติให้ขาดสะบั้นลงได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง กำจัดสาเหตุที่ก่อให้เกิดการถือกำเนิดในภพใหม่ เพราะเมื่อไม่เกิดอีก เราก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ต้องทุกข์กาย ทุกข์ใจอีกต่อไป
สรุปว่า คำสอนของศาสนาคริสต์ที่ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิ้ล นำผู้ปฏิบัติตามให้เข้าถึงได้เพียงรูปพรหมชั้น“อสัญญี”เท่านั้น

ในเรื่องนี้ มีพี่น้องชาวคริสต์ กล่าวแย้งว่า[12]

        “ ผมจะแสดงให้เห็นเหตุผลที่ว่า ทำไมสิ่งที่คริสเตียนเชื่อ กับ พุทธศาสนาถึงแตกต่างกันแบบว่า...โดยสิ้นเชิง...นะครับ
         สิ่งที่คริสเตียนเชื่อคือ (จะว่ากันตามเหตุและผล เป็นเรื่องเป็นราว) “ พระเจ้าทรงสร้างสิ่งต่างๆและที่พระองค์ให้ความสำคัญก็คือการสร้าง"ชีวิต" ซึ่งพระองค์ทรงสร้างมาอย่างดี และทรงเห็นว่าดีนักแล้วที่สุดของการทรงสร้างก็คือ "มนุษย์" แต่มนุษย์ได้ทำชั่วช้าในสายพระเนตรของพระเจ้า และเพราะตัวของมนุษย์เองได้เปลี่ยนจากชีวิตซึ่งเคยเป็น"สิ่งที่สวยงาม"กลายเป็น"คำสาปแช่ง"
และเพราะคำสาปแช่งนี้เอง ความตายจึงได้มาเยือน เพราะมนุษย์นั้นเป็นคนเลือกเอง แต่พระเจ้าผู้รักมนุษย์ ไม่ต้องการเช่นนั้น (หากไม่เข้าใจต้องไปศึกษาความรักใหม่นะครับ) พระองค์จึงได้ลงมา "ตาย" เพราะความบาปของมนุษย์เพียงหนเดียวพอ เพื่อแก้คำสาปที่ว่า"เพราะค่าจ้างของความบาปคือความตาย...."และล่วงไป 3 วัน พระองค์ได้เป็นขึ้นจากความตาย
(เอาล่ะไม่พูดมากเดี๋ยวหาว่าเชียร์...)


          มาดูสิ่งที่พุทธศาสนาสอนกันนะครับ (จะว่าตามเหตุและผลเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนกัน)
ก็อย่างที่ว่ากันว่า ไม่ใช่ว่าพุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธพระเจ้า เพราะเค้าก็มีพระเจ้าเหมือนกัน แต่พระเจ้าในความเข้าใจของเค้าคือ "กฎแห่งธรรมชาติ" และเมื่อมนุษย์ผู้ไม่รู้จักพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ (ผู้ได้สร้างธรรมชาติ)
เมื่อนั่งคิดใคร่ครวญ ใตร่ตรอง ดูว่า"ชีวิตเกิดมาทำไม?" ก็จึงพยายามหาสิ่งที่สมเหตุสมผลที่สุด
และได้สังเกตุจากชีวิตของคนต่างๆรอบข้าง ซึ่งมีแต่ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย(แต่เชื่อได้เลยครับว่าคนเหล่านั้นก็ไม่รู้จักพระเจ้าผู้เที่ยงแท้) จนในที่สุดทฤษฎีที่สมเหตุสมผลก็ได้เกิดขึ้น คือ"อริยสัจ 4" ซึ่งได้รวบรวมเอาเหตุการณ์ที่เป็นสัจธรรมของมนุษย์ ทั้ง 4 อย่างมาอธิบายตามกฎของธรรมชาติ ในที่สุดจึงได้รับรู้คำตอบที่ว่า"ชีวิตเกิดมาทำไม?" คำตอบก็คือ"เกิดมาใช้กรรม"นั้นเอง และเหตุนี้เอง เพราะเค้าเชื่อว่า"ชีวิต" คือสิ่งที่วนเวียนไปมาเหมือนวงกลม จึงได้หาทางที่จะออกจากวงเวียนนี้ โดยการเข้าสู่"นิพพาน"
หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ "การดับชีวิต" ไปสู่ความว่างเปล่าไม่ต้องกลับมาเกิดอีก


         และนี้แหละครับคือความขัดแย้งกันทางความเชื่อที่คริสเตียนและพุทธศาสนิกชน ไม่สามารถจะเข้าใจกันได้ เพราะฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าจะต้องดับสิ่งที่เรียกว่าชีวิตให้ได้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าชีวิตคือการเริ่มต้นและพระเจ้าทรงเห็นว่าดีนัก
และฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าชีวิตเป็นวงกลม แต่อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าชีวิตคือเส้นตรง

ข้าพเจ้าขอชี้แจง ดังนี้...

          " เส้นตรง" ที่คุณว่าคืออะไร รู้มั๊ย...
ศาสนาคริสต์มองชีวิตว่าเป็นเส้นตรง ..ก็เหมือนกับเรามองด้วยตาเปล่าว่า "โลกแบน" นั่นแหละ...
ฉะนั้น..สาเหตุที่พุทธ กับคริสต์มองชีวิต แตกต่างกันถึงเพียงนี้....ก็เพราะศักยภาพในการมองเห็นความจริงมีไม่เท่ากันนั่นเอง...ละครับ


      ....เส้นตรงที่ศาสนาคริสต์มองเห็น....นั่นก็คือองค์ประกอบเล็ก ๆ ของวงกลมขนาดใหญ่..นั่นเอง ก็เหมือนกับเราเห็นด้วยตาเปล่าว่าโลกแบน....แต่โดยความเป็นจริงแล้ว โลกแบนที่เราเห็นนั้น..เป็นเพียงส่วนเล็ก..ๆ ของโลกขนานใหญ่ที่กลมนั่นเอง


          ดังที่ผมอธิบายมานี้...ก็น่าจะพอทราบแล้วนะครับว่า....คุณกำลังอยู่ในส่วนไหน..ของความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ นะครับ.........ผมไม่ได้ปฏิเสธว่าสิ่งที่คุณรู้มันผิด นะครับ....เพราะเมื่อมองด้วยสายตายแล้ว...มองอย่างไร? โลกก็ยังแบนอยู่ดี... แม้จะมีผู้รู้มายืนยันว่าโลกกลมก็ตาม[13]
ขอย้ำให้เขาใจอีกครั้ง... และคำว่า “โลกกลม” ในที่นี้ ไม่เกี่ยวกับท่านโป๊ปอะไรนั่นหรอกนะครับ ..เป็นเพียงอุปมาให้เห็นความแตกต่างระหว่างพุทธ กับคริสต์ ให้เห็นความแตกต่างง่ายขึ้นเท่านั้นเองครับ...............ลองพิจารณาอรรถแห่งอุปมาให้ดีนะครับ...


          ศาสนาคริสต์มองชีวิตว่าเป็นเส้นตรง ..ก็เหมือนกับเรามองด้วยตาเปล่าว่า "โลกแบน" นั่นแหละ... ฉะนั้น..สาเหตุที่พุทธ กับคริสต์มองชีวิต แตกต่างกันถึงเพียงนี้....ก็เพราะศักยภาพในการมองเห็นความจริงมีไม่เท่ากันนั่นเอง...ละครับ
       ..เส้นตรงที่ศาสนาคริสต์มองเห็น....นั่นก็คือองค์ประกอบเล็ก ๆ ของวงกลมขนาดใหญ่..นั่นเอง ก็เหมือนกับเราเห็นด้วยตาเปล่าว่าโลกแบน....แต่โดยความเป็นจริงแล้ว โลกแบนที่เราเห็นนั้น..เป็นเพียงส่วนเล็ก..ๆ ของโลกขนานใหญ่ที่กลมนั่นเอง
ดังที่ผมอธิบายมานี้...ก็น่าจะพอทราบแล้วนะครับว่า....ศาสนาคริสต์อยู่ในส่วนไหน..ของความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ นะครับ....
      ..ผมไม่ได้ปฏิเสธว่าสิ่งที่คุณรู้มันผิด นะครับ....เพราะมองด้วยสายตายแล้ว...มองอย่างไร? โลกก็ยังแบนอยู่ดี... แม้จะมีผู้รู้มายืนยันว่าโลกกลมก็ตาม

หมายเลขบันทึก: 258838เขียนเมื่อ 2 พฤษภาคม 2009 19:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 09:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

มึงเป็นใครมึงมีัสิทธิอะไรมาตัดสินศาสนากูว่าผิดอย่างงั้นอย่างงี้ความเชื่อของใครของมันสิฟะอย่ามาเอาความเชื่อของมึงมาตัดสินศาสนาอื่นแบบนี้แบบนี้แหละมันถึงอยู่ร่วมกันไำม่ได้เพราะมีไอ้เหรี้ยตัวไหนไม่รู้ทำตัวยิ่งใหญ่มาตัดสินว่าศาสนาอื่นผิดอย่างงั้นอย่างงี้แล้วศาสนามึงนี้ดีเลิศประเสริฐศรีนักรึไงกูไอ้พวกพระชั่วแม่งก็เยอะ

ของใครของมันสิฟะอย่าความเชื่อตัวเองมาตัดสินศาสนาของคนอื่นดิลองกูวิจารย์ศาสนาของมึงดูมั้ยหัดเอาใจเค้ามาใส่ใจเราบ้างความเชื่อของใครของมันตายไปแล้วก็ไปตามความเชื่อของตัวเอง

มึงแน่จริงมึงลองไปวิจารย์ศาสนาอิสลามดูสิวะไอ้ฟายเอ้ยแม่งโจมตีแต่คริสต์ก็อย่างว่าพวกพุทธนี้เป็นพวกมือสากปากถือศีล

ถ้างั้นแล้วทำไมศาสนายูดายกับศาสนาอิสลามถึงมีพระเจ้าองค์เดียวกันละและหลักคำสอนก็คล้ายๆกันด้วยถ้ามึงบอกว่าพระเจ้าคืออวิชาแล้วทำไมยูดายกับอิสลามถึงกล่าวถึงพระเยซูด้วยละและเค้าก็นับถือเป็นศาสนทูตองค์หนึ่งด้วยล่ะแล้วทำไมคนยูดายกับคนอิสลามถึงไม่มีชาติหน้าชาติก่อนแล้วทำไมพวกเค้าถึงไม่เคยพูดถึงพระอินทร์ทำไมพวกเค้าถึงไม่เคยเห็นยมบาลขอร้องศาสนาของใครของมันอย่าเอาผสมโรงกันจนกลายเป็นที่เกลียดชังกันแล้วคุณรู้กับพระพุทธเจ้าด้วยมั้ยมีแต่พระพุทธเจ้าพูดออกมาเท่านั้นเราไม่เคยเห็นกับตาอย่ามาทำเป็นยิ่งใหญ่ชี้นิ้วว่าศาสนานั้นผิดอย่างงั้นอย่างงี้

??ของคุณบ่นอยู่ๆได้ เกรียนดอฟ

เห็นด้วยนะ คือไม่ได้ว่านะว่าศาสนาคริสต์เป็นเรื่องที่งมงายอะไร เพราะทุกศาสนาเขาก็ให้ทำความดีนั่นแหละ อันที่จริงเวลาเราตายเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นไงต่อไป แต่ตอนที่เราอยู่เนี่ยเราก็ต้องทำความดีใช่ไหม แต่ลองคิดดูสิ ศาสนาพุทธไม่เคยให้เราขอร้องกับพระเจ้า อย่างถ้าสมมุติว่าเรากำลังจะสอบปลายภาคอย่างเนี้ย คนนึงเลือกอ่านหนังสือ แต่อีกคนนึงไม่อ่านแล้วไปขอร้องพระผู้เป็นเจ้า สวดมนต์ทุกคืน เข้าใจว่าการสวดมนต์ของทุกศาสนาเนี่ยช่วยให้จิตใจเราสงบลงได้ แต่พอถึงเวลาสอบ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าเราไม่ได้อ่านอะไรไปเลย 99ทั้ง100ก็ตก มีแค่1อาจจะฟลุคผ่าน กับอีกคนที่อ่านทั้งวัน เพราะรู้ว่าทำยังไงได้อย่างนั้น ก็ร้อยละ1อาจจะสอบตก เพราะอ่านมาไม่ตรง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท