ผมแนะนำหนังสือทั้งสองเล่มที่
มหาวิทยาลัยในอเมริกา เมื่อสิ้นปีการศึกษาถึงช่วงรับปริญญาประเพณีที่ทำมานานคือ “การกล่าวสุนทรพจน์” จากผู้ที่มีชื่อเสียงที่ได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัย ผมมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่ง เขาเพิ่งสำเร็จการศึกษาจากอเมริกามาไม่นาน เขาเล่าให้ผมฟังถึงสุนทรพจน์ที่เขาได้ฟังในวันรับปริญญา ... มีต่อ »
|
เผอิญได้อ่านเล่มนี้แล้ว.. แวะเข้ามาอ่านบล็อกนี้ก็ขออนุญาตร่วมแสดงความเห็น.. เดินผ่านไปร้านหนังสือเห็น ชื่อเรื่องนี้สะดุดอารมณ์เรา.. ถามตัวเองว่า..เรายังขาดวิชาอะไรที่ไม่ได้ให้เขาครบอีกหรือ .. จึงซื้อมาอ่าน ก็ถือว่าเป็นวิชาประสบการณ์ของการเริ่มต้นในการเผชิญชีวิตนอกรั่วมหาวิทยาลัย.. ผู้มีประสบการณ์เท่านั้น ถึงจะให้ข้อคิดดีๆ
เหล่านี้กับเขาได้อย่างเหมาะสม ชอบความกล้าในการใช้ชีวิต ถึงขั้นออกจากการศึกษา เรียนไม่จบ ของผู้กล่าวสุนทรพจน์บางคน และไปเข้าเรียนวิชาที่ไม่ได้ลงทะเบียนเรียน ที่เป็นวิชาที่ตนเองอยากจะเรียน ถึงแม้ชีวิตจะล้มเหลวบางช่วง..แต่ก็ไม่ทิ้งความเชื่อแห่งตนผนวกกับ การสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ขึ้นมาเป็นตัวเชื่อมความสำเร็จในชีวิต อ่านแล้วคิดว่า ......
วิธีการคิด และวิถีการดำเนินชีวิตตามความคิดของเขา ..เป็นจักรกลที่สำคัญในการเริ่มต้น ขับเคลื่อนชีวิต หน้าที่การงานของเขาจนประสบผลสำเร็จ..... พูดได้ดีทั้ง 10 คนครับ..แต่ ส่วนตัวชอบแนวคิดของ David Foster Wallace ที่เน้นการเรียนรู้ "วิธีคิด" การควบคุมตัวราในการคิด นั่นคือการมี "สติ" ชอบคำว่า "การกำหนดค่าเริ่มต้นในจิตใต้สำนึก" ถือเป็นคุณค่าที่แท้จริงของการศึกษา ซึ่งเรื่อง "สติ" ที่กล่าวก็ คล้ายๆ และสามารถเชื่อมโยง กับเรื่อง "สติปัฏฐาน" ในพุทธศาสนาได้เลยครับ
ขอบคุณมากๆ ครับคุณเอก
ที่มาแนะนำการ review หนังสือทั้งสองเล่มให้ไปอ่าน ละเอียดละออมากๆ ครับ
เล่มหลังผมยังไม่เคยอ่านฉบับเต็มเลยครับ อ่านแต่บทสรุปเป็นตอนๆ ที่เคยมีผู้นำมาลงไว้ใน GotoKnow
มาฟังคนมีความรู้เยอะ เขาคุยกันค่ะ อิอิ
ขอบคุณมากๆ ครับสำหรับความเห็นจากคุณ rmutl_cm_art7yod2
อ่านเม้นท์คุณแล้วทำให้เห็นว่า
ฝรั่งมังค่านี่เขาให้ความสำคัญกับ "ปัญญาปฏิบัติ" มากกว่า "ดีกรี" ทางการศึกษาจริงๆ นะครับ
บิล เกตส์ ก็เรียนไม่จบ
สตีป จ๊อบ ก็รู้สึกว่าจะเรียนไม่จบ
แต่เขาก็ยังเชิญมากล่าวสุนทรพจน์ให้บัณฑิตจบใหม่
....
แต่ผมว่าความคิดของหลายๆ คนอ่านแล้วก็ต้องชั่งใจให้ดีเช่นกัน
เช่น สตีป จ๊อบ
จริงๆ แล้วผมชอบมากครับ กับสุนทรพจน์ของเขา มันสร้างแรงบันดาลใจ และกระตุ้นให้เรามีแรงทำอะไรๆ ได้ดีมากทีเดียว
ครั้นมาทราบว่า เขากำลังป่วยเป็นมะเร็ง
ทำให้ผมตั้งคำถามขึ้นมาในใจว่า
วิธีคิดของเขา จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่เอื้อต่อการเกิดมะเร็งหรือไม่
คงไม่มีใครรู้ และไม่มีใครตอบได้
เป็นแค่ข้อสังเกตส่วนตัวน่ะครับ
ขอบคุณครับ คุณน้อง
ช่วงนี้มีงานบุญใหญ่
จิตใจกำลังอิ่มบุญ
ผลบุญคงทำให้หน้าตาดียิ่งๆ ขึ้นไปนะจ๊ะ
...
แหม...มาฟังอย่างเดียวไม่มันส์นะจ๊ะ
สวัสดีค่ะพี่ซวง
มหัศจรรย์ความรู้แบบนุ่งผ้า
ชื่อเท่ห์จังเลย
อ่านบันทึกพี่ซวงจบแล้วน่ะค่ะ
อิอิ จะเม้นแสดงความคิดเห็นว่า
เม้นไม่ได้เลยค่ะ อิอิ
อ้าว เม้นไปแล้วนี่นา
นุ่งผ้าดีกว่า อายจัง
บอกว่าไม่เม้น นี่ไงแบบนี้เค้าเรียกว่าเม้นแล้ว
ขอบคุณครับน้องกอ
สำหรับเม้นท์แบบอายๆ
แต่ก็ยังอุตส่าห์นุ่งผ้าอีกนะ
ก็สุขสบายไปตามเหตุปัจจัยน่ะครับ
เช่นเวลามีกัลยาณมิตรมาทักทาย
ก็จะสุขใจ อมยิ้ม ขึ้นมาเป็นวูบๆ
....
ช่วงนี้คุณครูเป็นอย่างไรบ้างครับ
เห็นลุ้นลูกศิษย์ที่สอบเข้ามหาลัย จนตัวโก่งเลยนะครับ
มีคนพุดว่า......ความเป็นเลิศทางวิชาการจะเป็นจริงได้ต่อเมื่อเรามีรากทางปัญญา และ "ความเป็นรากทางวิชาการ" จะเกิดได้เมื่อเรามีรากทางปัญญาก่อน
ก็น่าจะจริงนะคะ
สวัสดีครับ คุณพี่ Sasinand
เห็นด้วยกับคุณพี่เลยครับ
แต่ผมขอขยายความตามมุมมองผมอีกหน่อยนะครับว่า...
รากทางปัญญาที่ดีนั้นควรจะมีที่มาจากรากฐานแห่งประสบการณ์ตรงครับ เพราะมันจะมีพลัง มั่นคง และสามารถพูดกับใครต่อใคร ได้อย่างเต็มที่
อย่างน้อยเวลาใครๆ ถามว่ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
จะได้พูดได้อย่างเต็มปากว่า
ก็ผ่านประสบการณ์ตรงของตัวเองมาแล้วน่ะสิ
เหมือนดังบันทึกที่คุณพี่เขียนเรื่อง "น้ำ" คุณพี่ก็เขียนจากประสบการณ์การทำงานตรง ผมคิดว่าบันทึกนั้นมีคุณค่ามากเลยครับ