เรื่องเพลงฉ่อย...(ตอนที่ ๒)


เรื่องเพลงฉ่อย(ตอนที่ ๒)

  ผมยังเล่าเรื่องเพลงฉ่อยไม่จบขอต่อตัวอย่างเพลงประพ่อบัวเผื่อนกับแม่ทองหล่อนะครับ

พ่อเผื่อน

บอกว่ามาชวน น้องสาว จะมาชวนเปล่าเปล่า กันไม่ได้

ว่าเงินทองไม่ต้องทุกข์นี่แหละลูกเศรษฐี แต่มากรุงเทพฯซักทียังไม่มีเงินไป

แม่ทองหล่อ

เอาเถอะเงินทองไม่ต้องทุกข์เป็นลูกเศรษฐี เงินทองพี่มี รู้ไหม

พุทโธ่เอ๋ยจะเอาฉันเปล่าเปล่า เงินทองไม่ต้องเอา รู้ไหม

อยากได้เปล่าเปล่า ต้องไปสะพานเหล็ก ต้องไปเล่นเดนเจ๊กซิไอ้ควาย

เอ่ชา เอ๊ชา ชาช้า ฉาดชา หนอยแม่

    ตอนที่แล้วถึงขั้นตอนที่ ๘ คือการว่าเพลงประ ขั้นนี้ก็ว่ากันเรื่อยไป จะใช้เวลานานเท่าใดก็แล้วแต่จะตกลงไว้กับเจ้าภาพ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเล่นเพลงฉ่อยระดับอาชีพ พ่อเพลงแม่เพลงต้องรู้เพลงมาก ต้องจดจำเพลงตับเพลงชุดต่างๆไว้ให้มาก ทั้งเพลงเก่าที่จดจำมาและเพลงที่ตนเองคิดแต่งขึ้นใหม่ เพราะต้องว่าเพลงโต้ตอบกันไปเรื่อยๆบางทีครึ่งคืน หรือทั้งคืน หรือว่าต่อกันไปหลายวันก็มี ยิ่งเจ้าภาพหาคนเพลงต่างวงมาให้ประ คือให้โต้ตอบกัน ก็ยิ่งต้องใฝ่หาเพลงอยู่เสมอไม่ขาด ถึงจะเรียนเพลงหลักๆเอาไว้ตั้งแต่แรกเหมือนเราเรียนพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ แต่ถ้าไม่รู้จักนำมาประสม ไม่รู้จักเรียบเรียงให้ทันการแล้ว สิ่งที่จดจำไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเล่นต่างวงกัน ไปแพ้เพลงเข้าก็ต้องอาย นอกจากจะรู้เพลงมากแล้วพ่อเพลงแม่เพลงจึงต้องเป็นคนมีไหวพริบปฏิภาณ มีฝีปากคมคายด้วย

   พูดถึงเพลงตับ บางตับ ผู้อ่านบางท่านสงสัยว่า ตับตีหมากผัว เป็นอย่างไร ตับตีหมากผัว ก็จะว่าด้วยเรื่องเมียหลวงเมียน้อยทะเลาะกัน ทำนองว่าแย่งผัวกัน ส่วนตับชิงชู้ ก็ว่าด้วยเมียไปมีชู้ ผัวกลับมาทราบข่าวติดตามไปถึงบ้านชู้ก็ทะเลาะกันนั่นเองครับ

    ๙. หลังจากเล่นตามเวลาที่กำหนดแล้ว ตอนสุดท้ายก็ต้องร้อง "เพลงลา"หรือ "เพลงอวยพร" มีการอวยพรเจ้าภาพและผู้ชม

    ๑๐. เมื่อเลิกเล่นเพลง ทุกคนเข้าโรง หยุดเล่นแล้วพ่อเพลงแม่เพลงทุกคนต่างยกมือไหว้ขอสมาหรือขอขมาลาโทษต่อกัน เนื่องจากขณะที่เล่นเพลงนั้นอาจมีการว่ากล่าวอะไรล่วงเกินพลาดพลั้งกันไปบ้าง

    เป็นอันครบขั้นตอนการแสดงเพลงฉ่อยแล้วนะครับ

    เพลงฉ่อย เป็นเพลงที่มีลักษณะสมบูรณ์ในตัวเอง ทำนองก็ง่าย หัดร้องได้ไม่ยาก มีจังหวะไม่ช้าไม่เร็วเกินไป จึงค่อนข้างทันอกทันใจคนฟัง เวลาจะลงเพลงให้ขบขันหรือคมคายก็ไม่มีเสียงลูกคู่มากลบเสียก่อนเหมือนเพลงพื้นบ้านบางเพลง

    กลอนที่ใช้ในการแต่งเนื้อร้อง มี ๒ แบบ

    คือบทไหว้ครู กับบทเกริ่น จะใช้กลอนแบบเพลงโคราช (ดังที่กล่าวมาในตอนต้น)

    ส่วนบทประ ใช้กลอนหัวเดียว คือคำท้ายของบาท จะสัมผัสสระกันไปเรื่อยๆ ถ้าลงท้ายด้วยเสียงสระไอ ก็เรียกกลอนไล ลงท้ายด้วยสระอา ก็เรียกกลอนลา ลงท้ายด้วยสระอีก็เรียกกลอนลีเป็นต้น สัมผัสก็อนุโลมเสียงสั้นยาวสัมผัสกันได้ จำนวนคำในแต่ละบาท ก็ไม่ตายตัวมากน้อยตามแต่จะร้องลงจังหวะ ผู้ร้องต้องรู้จักรวบ รู้จักยืด รู้จักยักย้าย จำนวนบาทก็ไม่จำกัดความยาว

ตัวอย่างกลอนเพลงฉ่อย "กลอนลัน"

ไอ้ลูกกลมกลม เขาเรียกมะนาว  ไอ้ที่ยาวยาว เขาเรียกว่ามะดัน

ให้น้องแม่เป็นน้ำปลา จะได้งัดเอามา จิ้มกัน

น้องจิ้มด้วย พี่จิ้มด้วย  จิ้มกันให้ปากถ้วย เป็นมัน

ตอนนี้เรามีหอยโข่ง อยู่สองใบ  หมายจะทุบใส่ ลงในรัน

ถ้าน้องไปดัก หนองไหน  พี่จะตามไป หนองนั้น

ถ้าน้องไปดัก หนองเหนือ  จะตามไปกินเหยื่อ ให้ทัน

ถ้าให้แม่ทั้งหลาย เขาเป็นงาแซง ฉันจะเป็นไรแดง คอยดัน

แต่พอปลาไหล มันได้คาว  มันก็เลื้อยเข้า  เป็นควัน

เอ่ชา เอ๊ชา ชาช้า ฉาดชา หนอยแม่

     จะเห็นว่าในกลอนหัวเดียวนั้น ไม่ใช่จะเพียงแต่ให้คำสุดท้ายของบาทสัมผัสสระกันเท่านั้น กลอนจะไพเราะจะต้องมีสัมผัสในวรรคย่อยๆด้วย ดังที่ครูพิสูจน์ ได้แสดงจุดที่สัมผัสด้วยอักษรสีชมพู ไว้จะเห็นว่าในวรรคย่อยๆก็มีจำนวนคำแตกต่างกัน ผู้ร้องจึงต้องมีปฏิภาณไหวพริบ ยักย้ายให้เข้าจังหวะ

ลองดูตัวอย่าง เพลงฉ่อย ตับชมไม้ (ร้องโดยแม่บัวผันและพ่อไสว)จากหนังสือเพลงพื้นบ้านภาคกลาง จากแม่บัวผัน จันทร์ศรี โดยเอนก นาวิกมูล

กลอนไล

(แม่บัวผัน) เอ่..เอย

พากันเข้าป่า ต้องชมนก  เราพาเมียเข้ารก ชมไม้

เรามาชมไม้ เชียวนะในป่า  มาช่วยกันชมพฤกษา ไม้ใหญ่

มาถึงยังดอน กันดาร ได้ยินแต่เสียงจั๊กจั่น เรไร

ได้ยินแต่เสียง เรไรเร่าร้อง หักกิ่งไม้มารอง ฟังเสียงเรไร

เสียงนกกาเหว่าร้องเว้ว จับอยู่บนยอดสวอง

พี่จ๋าจะพาน้อง หนีกันไปแห่งใด

แต่มาถึงดอน เชียวนะกันดาร บอกว่าตัวของฉัน ไปไม่ไหว

ฝ่าตีนก็เร่า ฝ่าเท้าก็พอง ไปเสียด้วยละออง ละไอ (เอ่ ชา)

(พ่อไสว)

ไปเสียด้วยละอองละไอ

กระโดดเข้าประคอง น้องเอ๋ย น้องรักก็ไม่เคย เดินไพร

ถ้าแม่เดินไม่ไหว ใส่สะเอวอุ้ม จะเดินลัดตัดพุ่ม ป่าไผ่

เห็นแม่ร้อนบาทา เลยเอาผ้าคลุมพลัน ผ้าขาดจะพัน ซื้อใหม่

เดินไม่ไหว ใส่สะเอวอุ้ม เดินลัดตัดพุ่ม นะแม่ผ่องอำไพ

ว่าแล้วยกแม่หนู เข้าสะเอวอุ้ม สองมือจับกุม เมียไว้

หรือว่าหยุด สำนักขยับย่าง อยู่ที่ใต้ร่มรัง ก่อนเป็นไร

(แม่บัวผัน)

อยู่ที่โคนรัง ไม่เป็นไร

โน่นแน่ะไม้พยอม มีกันแต่ดงยาง ต้นไม้หลายอย่าง โน่นแน่ะยางต้นใหญ่

พี่จ๋าชี้นิ้ว ให้น้องชม ไม้ดีอุดม ถมไป

(พ่อไสว)

ไม้ดีอุดม ถมไป

กันดารป่าดง ไม้พงเป็นพืด ดูอ่อน..แล้วมืด มีแต่หมู่ไม้

นมแมวแห้วหมู มีหมู่ไม้มาก มะม่วงต้นหมาก น้องนี่เห็นไหม

ชวนเมียชมไม้ มากมายมีพร้อม โมกมันไม้เท้ายายม่อม มากมาย

ข้างสระป่าสูง ไม้สัก ลมเผยพักตร์ เย็นฉิวจริงนะ พระพาย

ชวนเมียนั่งร่ม ถามว่าลมพัดรื่น มานอนแตะกันสักตื่น แล้วไปเดินตอนบ่าย

หักใบตองรองหลัง ตีต่างว่าเสื่อ มานอนเอาเนื้อจิ้มเนื้อ ให้เพลินใน(เอ่ ชา)

(แม่บัวผัน)

หักใบตองรองหลัง ตีต่างว่าเสื่อ นอนเอาเนื้อจิ้มเนื้อ ให้เพลินใน

หยุดก่อนช้าก่อน นะพี่จ๋า เราค่อยพูดค่อยจา กันก็ได้

เมียเลี้ยง เมียดู เมียอยู่ เมียกิน จะเอาหลังลงดิน เสียยังไง(เอ่ชา)

     เห็นหรือยังครับว่า คนสมัยก่อน เขามีทั้งศาสตร์และศิลป์..น่ายกย่องจริงๆครับ

คำสำคัญ (Tags): #เพลงฉ่อย
หมายเลขบันทึก: 256702เขียนเมื่อ 22 เมษายน 2009 07:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 18:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

สวัสดียามเช้าค่ะพี่ชาย

ครูอ้อย มาฟังเพลงฉ่อย ที่ไพเราะของพี่ชายนะคะ

มีความสุขมากๆๆนะคะ.......หนอยแม่

สวัสดีครับ อาจารย์ พิสูจน์

ตามมาฟังเพลงฉ่อยครับ..ชอบๆๆครับ

ขอบคุณ ครูอ้อย ยังไม่จบครับ ผมยังมีเรื่องเล่าต่อ

ขอบใจน้องโย่ รีบเรียนให้จบ มาเป็นพ่อเพลงสืบทอดพี่จิ..นะครับ

สวัสดีค่ะ

  • ตอนนี้อยู่เมืองกาญจน์ค่ะ
  • วันก่อนมาหาคุณครูพรรณนาที่สุพรรณ
  • ไม่ได้นัดเจอคุณครูพิสูจน์เลย
  • รอเที่ยวหน้าค่ะ

ขอบคุณครูคิม...แหม..เสียดายจัง

อาจารย์พิสูจน์ นี่ อาจารย์พิเศษ เป็นไงสบายดีไหม

ช่วยส่งประวัติและข้อมูลต่างๆของเพลงพื้นบ้านภาคกลางให้ผมหน่อยสิครับ

จะเอาไปเป็นข้อมูลทำโครงงานภาษาไทย...

ถ้าได้จะดีมากเลยครับครู...ขอบคุณมากครับ..

หวังว่าครูุจะเมตตานะครับ.....

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท