นาลันทาเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กันกับราชคฤห์ ที่นี่มีมหาวิทยาลัย 2 แห่งได้แก่ นาลันทาเก่าที่ถูกทำลายไปในระหว่างสงคราม และนาลันทาใหม่ที่มีการเรียนการสอนในระดับหลังปริญญาตรี
นาลันทาเก่าส่วนที่กันไว้เป็นโบราณสถานมีขนาดไม่กี่ร้อยไร่โดยประมาณ ทว่า... ถ้าขุดดินลงไปโดยรอบจะพบซากอาคาร หรือซากอิฐซากหินกระจัดกระจายไปเป็นบริเวณกว้างขวาง มีลักษณะเป็นเมืองมหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยนาลันทาเก่าเป็นสถานศึกษาพุทธศาสนาแบบมหายาน มีอาคารหอสมุด อาคารที่พักอาจารย์-นักศึกษา และอาคารอื่นๆ อีกมากมาย
ผู้เขียนมีโอกาสเข้าชมห้องที่สันนิษฐานว่า เป็นคุกสำหรับขังนักศึกษาที่ไม่ตั้งใจเรียนด้วย นับว่า กระบวนการเรียนการสอนเข้มข้นพอสมควร
ถ้ามหาวิทยาลัยไทยจะทำคุกไว้ขังนิสิตนักศึกษาที่เกียจคร้านบ้าง... คงจะต้องถกเถียงกันมากว่า จะขังนิสิตนักศึกษาประเภทไหนก่อนดี เช่น พวกที่นั่งหลับเวลาเรียน พวกที่มีผลสอบไม่ดี ฯลฯ ทำนองนี้
ถ้ามีการขังพวกที่นั่งหลับเวลาเรียน... ผู้เขียนอาจจะถูกสั่งขังไปแล้วหลายครั้ง เพราะนั่งเรียนแบบหลับๆ ตื่นๆ มาตั้งแต่เด็ก... จนถึงชั้นเรียนบาลีที่วัดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ความจริง... คำสอนในพระธัมมวินัยนี้ไม่ได้เน้นการลงโทษ หากแต่เน้นการยอมรับโทษตามความเป็นจริง การกระทำคืน เช่น ถ้าทำของส่วนรวมเสียหายต้องชดใช้ ฯลฯ การสำรวมระวังที่จะไม่ทำเช่นนั้นอีกดังเช่นที่พระภิกษุท่านมีการปลงอาบัติ
นอกจากนั้นท่านยังเน้นทัณฑกรรม ไม่ใช่การลงโทษ ให้ไปทำความดีชดเชย เช่น ตักน้ำใส่ภาชนะ ทำความสะอาดพระเจดีย์ ทำความสะอาดของสงฆ์ ฯลฯ
นาลันทาใหม่เป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้กันกับวัดไทยนาลันทา รับทั้งพระทั้งฆราวาสเข้าเรียน จำนวนพระไทยที่นั่นมีน้อยกว่ามหาวิทยาลัยในเมืองพาราณสี
วัดไทยนาลันทาเป็นวัดที่มีลักษณะเฉพาะคือ มีผู้อำนวยการวัด และเจ้าอาวาสในวัดเดียวแบบ “ทู-อิน-วัน (two-in-one)” คล้ายกับแชมพูผสมครีมนวดผมในขวดเดียวกัน
อาจารย์ ดร.แม่ชี(ท่านจบปริญญาเอก)เป็นผู้อำนวยการ ท่านมีความสามารถหลายอย่าง พูดได้ทั้งภาษาไทย อังกฤษ และฮินดี ข่าวว่าอยู่อินเดียมาหลายสิบปีแล้ว
ท่านทำกับข้าวเก่ง และเลี้ยงแพะไว้บนอาคารชั้นสอง ซึ่งมีห้องกินข้าวด้วย ทำให้ห้องกินข้าวมีกลิ่นตลบ อบอวล
ส่วนจะเลี้ยงแพะไว้เพื่ออะไรนี่ ผู้เขียนไม่ทราบ และไม่กล้าไปถามท่าน เกรงจะวิ่งหนีออกจากวัดไม่ทัน...
มหาวิทยาลัยนาลันทาเก่ามีพระเจดีย์บรรจุอัฐิท่านพระสารีบุตร อัครสาวกฝ่ายขวา(เลิศทางปัญญา) ชาวพุทธทั่วโลกนิยมมากราบไหว้พระเจดีย์แห่งนี้ เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน
ท่านพระสารีบุตรท่านหันศีรษะไปทางทิศที่ท่านพระอัสสชิ ซึ่งแสดงธรรมให้ท่านได้บรรลุธรรมครั้งแรก(เป็นพระโสดาบัน) มีพระภิกษุทูลฟ้องพระพุทธเจ้าว่า ท่านนับถือทิศเหมือนเดียรถีร์ปริพาชก(นักบวชนอกศาสนา)
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงไต่สวนแล้ว ทราบว่า ท่านพระสารีบุตรเป็นผู้มากด้วยคารวตาธรรม หรือความอ่อนน้อมในครูบาอาจารย์ พระองค์ทรงสรรเสริญท่านพระสารีบุตรเป็นอันมาก
ท่านพระสารีบุตรจะดูแล ช่วยเหลือพระภิกษุที่ป่วยไข้ หายาที่สมควรไปให้ และปัดกวาด ทำความสะอาดวัดก่อนออกบิณฑบาตหรือเดินทางไกลเป็นประจำ
นับว่าท่านพระสารีบุตรเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นแบบอย่าง ควรแก่การเคารพ เทอดทูน บูชา สมบูรณ์ด้วยวัตรปฏิบัติของบุคคลผู้เป็นครูบาอาจารย์โดยแท้...
แหล่งข้อมูล: