ใกล้เทศกาลเดินทาง ใกล้วันสงกรานต์แล้วค่ะ หลายคนกำลังเดินทางออกจากรุงเทพฯ กลับบ้านต่างจังหวัด วันหยุดยาวปีนี้ต่างจังหวัด คนคงเยอะ สนุกสนาน ครึกครื้นน่าดู กรุงเทพฯก็จะกลายเป็นเมืองน่าอยู่ไปเลยค่ะ หลังเทศกาลแต่ละปีเราจะพบยอดอุบัติเหตุในแต่ละวันในช่วงเทศกาลเยอะมาก ซึ่งสาเหตุของอุบัติเหตุส่วนใหญ่ คือ การดื่มเหล้าหรือการผิดศีลข้อ 5 ค่ะ
ดื่มเหล้า แล้วก็เมา แล้วก็ขาดสติ แล้วก็ประมาท แล้วก็เกิดอุบัติเหตุ ก็เป็นวงจรอุบาทว์แบบนี้ไปเรื่อยๆค่ะ เพราะโลกนี้ สังคมนี้มีคนที่ผิดศีล 5 ทุกวัน บางวันก็ผิดทุกข้อ หรือไม่ก็ผิดศีลทุกข้อ ทุกวัน แล้วเราจะไปหาความสงบสุข สันติสุขจากที่ไหนได้ละคะ ในโลกนี้
ลองฝึกสติกันบ้างไหมค่ะ เผื่อจะพบความสุข สงบ ร่มเย็น และเพื่อความปลอดภัยของทุกคน หารายละเอียดได้ที่นี่ค่ะ http://www.wimutti.net/pramote/#news
อย่าลืมนะคะ เมาไม่ขับ โทรไม่ขับ ช่วยลดอุบัติเหตุค่ะ
ฉบับที่ ๐๔๐ พฤหัสบดีที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๑ จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว
และแล้วเทศกาลพักผ่อนที่ยาวนานที่สุดช่วงหนึ่งของปี ก็สิ้นสุดลงแล้วนะคะ
ส่วนใครจะลาวันที่เหลือเพื่อขอหยุดยาวกันต่อก็ว่ากันไปตามอัธยาศัย : )
กลับจากหยุดยาวมาเปิดหน้าหนังสือพิมพ์ ก็เห็นยอดรายงานสถิติผู้เสียชีวิตเป็นธรรมเนียม
ปีนี้ ๔ วันผ่านไป รายงานแจ้งว่า เสียชีวิตแล้วร่วม ๓๐๐ ศพ บาดเจ็บอีกกว่า ๓,๓๐๐ ราย
และสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ก็เกิดจากการเมาสุรา คือกว่า ๔๔.๗๓%
ไม่นับเรื่องน่าอิดหนาระอาใจและเรื่องน่าสลดที่เกิดจากความคะนองฤทธิ์เหล้าอีกมากมาย
สำหรับผู้ที่สมัครใจเดินตามแนวทางคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว
การรักษาศีลข้อ ๕ คงเป็นเรื่องปกติ ที่จะกรอกน้ำเมาเข้าปากนั้นคงไม่ใช่วิสัยใกล้ตัวนัก
แต่ก็ยังมีบางท่านค่ะ ที่อนุญาตให้ตัวเองกระดกเหล้าได้ในบางโอกาสด้วยเหตุผลเช่นว่า
"นาน ๆ ที" "ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน" "รู้ลิมิต" หรือ "เข้าสังคม มันก็ต้องมีบ้าง..."
ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่า เป็นเหตุผล หรือ เป็นข้ออ้างให้กิเลส มากกว่ากันดีนะคะ : )
แถมเดี๋ยวนี้น้ำเมาเองก็มีหลายเกรด ที่ดีหน่อยก็ได้รับการสร้างภาพให้เป็นเครื่องดื่มมีระดับ
ยกขึ้นสังสรรค์ทีกลายเป็นดูดีมีสกุล แถมไม่ได้เดือดร้อนใคร ก็ไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน
แต่อาจไม่เคยมีใครเล็งลงมาเห็นถึงระดับจิตว่า
เหล้า... ทำให้จิตเราฟกช้ำ และบิดเบี้ยว
ทุกครั้งที่ปล่อยให้มันล่วงล้ำผ่านลงลำคอไป
สติสัมปชัญญะแบบที่คนทั่ว ๆ ไปพึงมี จะค่อย ๆ ถูกบีบให้เล็กลงทุกครั้งที่กระดกแก้ว
แล้วกิเลสประเภทต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ ถูกขับดันให้พองโตขึ้นเรื่อย ๆ
พร้อมจะลากพาเอาความด่างพร้อย หรือกระทั่งความขาดทะลุของศีลข้อที่เหลือ
ให้ตามออกมาได้ตลอดเวลา เพียงเพราะขาดการ์ดที่สำคัญไปตัวเดียว คือ "สติ"
เมื่อไหร่ที่สติเริ่มแหว่งวิ่น เมื่อไหร่ที่กิเลสแม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ดูท่ากำเริบเติบโต
ได้ง่ายกว่าเวลาปกติ เมื่อนั้นก็เป็นสัญญาณว่าจิตที่เคยอยู่ดี ๆ เริ่ม "ช้ำ" แล้ว
ถึงจะไม่เคยขนาดอาละวาดฟาดงาคึกคะนองทำร้ายใครอื่นด้วยฤทธิ์เหล้า
แต่จิตเราก็เหมือนค่อย ๆ สะบักสะบอมเข้าไปทุกที จิตจะฟุ้งซ่านหยุมหยิม ตั้งมั่นได้ยาก
กระทั่งถ้าดื่มมาก ๆ ขนาดร่ำสุราเป็นอาจิณ ต่อไปวิบากก็ย่อมให้ผลเป็นผู้มีสติไม่ดีแน่นอน
อย่างที่คุณดังตฤณเคยเปรียบเทียบไว้ว่า
การกินเหล้าน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ เป็นประจำนั้น ก็เหมือนการถูกทุบเบา ๆ เป็นระยะ
ร้อยหนเหมือนไม่เป็นไร แต่พอหลักพัน ก็ชักช้ำเข้าจนได้เหมือนกัน
ยิ่งถ้าหากไม่มีกำลังกุศลอื่น ๆ มาช่วยหนุนไว้บ้าง
ในที่สุด จิตก็จะช้ำถาวร เหมือนคนถูกชกหมดสภาพ
และเมื่อถึงยามใกล้ตายนั้น อย่าว่าแต่จะพาตัวเองไต่ขึ้นบันไดสวรรค์เลยค่ะ
แค่จะประคองตัวเองให้พ้นจากแรงฉุดของนรก ของอบาย ก็ทำได้ยากแล้ว
คนเรานั้นใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นมายา เหมือนฝันล่องลอยกันทุกวันอยู่แล้วนะคะ
ที่จะ "ตื่น" รู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริงนั้นก็ยากหนักหนาอยู่แล้ว
คุ้มค่าแล้วหรือที่จะยอมเสียคุณภาพของจิตเพียงเพื่อความสุขผิวเผินเพียงนิดเดียว
หลวงพ่อปราโมทย์ท่านเคยเล่าให้ฟังถึงพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านหนึ่งนะคะ
ว่าสมัยที่พระรูปนั้นท่านยังเป็นฆราวาส กว่าจะฝ่าฟันวิบากมาถึงวันนี้ได้ ต้องลำบากขนาดไหน
ในอดีตท่านร่ำสุรามามาก และผลก็คือทำให้ท่านเป็นผู้มีโมหะมาก
(โมหะ ก็คือ ความหลง ไม่เห็นอะไรตามจริง เหมือนอยู่ในม่านหมอกทึบทึมนั่นเองค่ะ)
ท่านเล่าว่า...
"...พอภาวนามาถึงชาตินี้นะ โมหะเยอะ เพราะเหล้าเป็นตัวทำลายสติ
อกุศลส่งผลแล้วโมหะมาก ภาวนายากกว่าเพื่อนเลย
หลวงพ่อหันมาเห็นเด็กคนนี้ ไม่สบายหรือเปล่า เป็นหวัดหรือเปล่า
ทำไมมันซึมกะทืออย่างนั้น กินยาแก้หวัดมาหรือเปล่า ต้องถามอย่างนี้เรื่อย ๆ
ง่วงนอนอดนอนมาหรือเปล่า ทุกครั้งที่ทักทายจะเป็นเรื่องแบบนี้
อยู่ร่วมปี ไม่เคยสอนกรรมฐานให้เลย เพราะสอนไม่ไหว โมหะมาก
กว่าจะสู้โมหะทะลุออกมาได้นะ ลำบากแทบตายเลย
นั่งสมาธิ เดินจงกรม หามรุ่งหามค่ำ ต่อสู้ออกมา…
เห็นไหม ตอนสนุกสนานนี่ แป๊บเดียวนะ
แต่ตอนที่จะแก้มันขึ้นมา กลับตัวให้ดีขึ้นมา
ไม่ใช่ง่ายเลย..."
อย่างที่เราเคยคุยกันตลอดเวลานะคะว่า กิเลสนี่มันร้ายกาจขนาดไหน
พลั้งไปด้วยความประมาทเผลอเพลินหน่อยเดียว
อาจฉุดรั้งชีวิตที่เหลือให้ลงต่ำ กว่าจะมีกำลังฉุดขึ้นมาได้อีกครั้งอาจยิ่งกว่าหืดขึ้นคอ
เคยอ่านข่าวซุบซิบจากหน้าหนังสือพิมพ์ที่พูดถึงอดีตท่านผู้ว่า กฟผ. คนที่ผ่านมา
แล้วก็ต้องอมยิ้มค่ะ ใครว่าเข้าสังคมแล้วต้อง "ดื่ม" : )
ขนาดเป็นเบอร์หนึ่งใหญ่โตขนาดนั้น จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ นักข่าวมาร่วมมากมาย
ผู้สื่อข่าวยังออกปากสงสัยว่าทำไมงานนี้ถึงเสิร์ฟและดื่มกันด้วย "น้ำส้ม"
ไม่เป็นแชมเปญเหมือนที่ผ่านมา เพราะงานไหนก็เห็นพี่ไทยใช้แชมเปญดื่มฉลอง
ลูกน้องตอบว่า นายเป็นคนรักษาศีล ๕ เคร่งครัด ที่เคยเป็นแชมเปญเลยต้องเปลี่ยน
นายน้ำส้ม ลูกน้อง ผู้ร่วมงาน และนักข่าว ก็เลยน้ำส้มไปด้วยหมด
ประหยัดงบ แถมยังครองสติไว้ได้ครบทั่วทั้งงานดีด้วยนะคะ : )
แม้คุยกันอย่างนี้ ก็คงไม่ได้ช่วยให้สถิติอุบัติเหตุเพราะสุราในช่วงเทศกาลลดลง
และคุณผู้อ่านนิตยสารหลาย ๆ ท่านก็คงเป็นผู้ครองตนในศีลข้อ ๕ ได้ดีอยู่แล้ว
แต่ก็อยากนำมาคุยเบา ๆ เล่าสู่กันฟังไว้ค่ะ อย่างน้อยก็เผื่อไว้สำหรับผู้ที่ยังสองจิตสองใจ
รากฐานของความสุขที่แท้จริง อยู่ที่เห็นทุกข์ได้กระจ่างตามจริง
ไม่ใช่การย้อมใจให้ไหลเลือนไปกับสุขจากภาพฝันชั่วครู่ชั่วยาม
เราชาวพุทธมียาแก้ทุกข์สูตรดีที่สุดและชะงัดที่สุดของพระพุทธเจ้าอยู่ในมืออยู่แล้ว
ลองกระดกลงจิตลงใจกันดูจริง ๆ จัง ๆ แล้วหรือยังล่ะคะ... : )
อ่านเรื่องราวต่างๆได้ที่นี่ค่ะ
http://gotoknow.org/blog/storydhamma
เที่ยวให้สนุกและปลอดภัย กลับมาครบ 32 ประการนะคะ
บุญรักษา ธรรมคุ้มครองนะคะ ทุกคน
ไม่มีความเห็น