เรื่องทางธรรมกับเรื่องทางโลก ว่าด้วยเรื่องของสายไหน นิกายอะไร อีกสักรอบ


มีใครหลายๆคนสงสัยว่า  ทำไมข้าพเจ้าชอบไปเข้าร่วมงานภาวนาของพุทธหลายๆสาย  ตั้งแต่เถรวาท  เซนมหายานและวัชรยาน   หลายคนอาจจะคิดเห็นในใจว่าข้าพเจ้าคงจะอยู่ในช่วงแสวงหา หรือไม่ก็ยังไม่พบครูบาอาจารย์ที่แท้จริงหรือเปล่า ?     บางคนคิดในใจว่า  จะปฎิบัติสายไหนก็เลือกเอาสักสายหนึ่ง  ไม่ใช่ตระเวนท่องเที่ยวไป   เหมือนยังค้นหาอะไรสักอย่างอยู่

 เริ่มแรกข้าพเจ้าอาจจะยังอยู่ในช่วงค้นหา และศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติม   การเข้าสู่สายการปฎิบัติของพุทธสายเถรวาท  ที่มูลนิธิศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่  ได้เปิดโลกทัศน์เกี่ยวกับพุทธศานาที่แท้จริงให้กับข้าพเจ้า  แถมท่านอาจารย์ก็ใจดีมีเมตตา  และมีภูมิธรรมมากมายมาสอนเรา  ข้าพเจ้าได้พบครูบาอาจารย์ที่แท้จริง  และได้เข้าไปฝึกไปภาวนาในสถานที่ที่ดีมาก   ท่านอาจารย์ได้ทำสิ่งที่เป็นกุศลใหญ่ และเป็นประโยชน์ต่อพุทธศาสนาอย่างสูงส่ง   และเป็นแรงบันดาลใจสำหรับข้าพเจ้า  เพราะท่านบอกว่า  ปัจจุบันนี้  เราจะหวังพึ่งวัดวาอารามประการเดียวในการสืบทอดศานาพุทธไม่ได้แล้ว    เราอุบาสก อุบาสิกา ก็ต้องช่วยกันค้ำจุนพระศาสนา     และช่วยกันนำพาคนผู้มีปัญญาทั้งหลายเข้ามาปฎิบัติธรรมและเรียนรู้ในพระธรรมคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธองค์     การกระทำเช่นนี้จะช่วยค้ำจุนพระศาสนา ในอยู่ยืนยาวไปจนครบ 5000 ปี ได้   และนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งในสัจอธิษฐานของข้าพเจ้า  ในการพยายามนำพาคนที่ข้าพเจ้ารู้จักคุ้นเคย   ให้เข้าสู่พระศาสนา   เข้าสู่การปฎิบัติสมาธิภาวนา    ข้าพเจ้าเชื่อว่า  เราควรเริ่มต้นจากคนใกล้ตัว  คนที่อยู่รอบๆตัวเรา   จากนั้นมันอาจจะช่วยขยายวงออกไปเรื่อยๆ  โดยรอบ

 อันที่จริงข้าพเจ้าไม่เคยเอาซองบุญ  ซองขาวไปแจกใคร  ไม่เคยชวนใครไปวัดเพื่อทำบุญอะไรสักอย่าง           ข้าพเจ้าเอ่ยปากชวนไปปฎิบัติธรรมด้วยกันเลยทีเดียว    ตอนที่มีวันแห่งสติของสังฆะพลัมน้อย  ข้าพเจ้าก็จะชวนน้องที่สนิทคุ้นเคยให้ไปด้วยกันสักครั้ง  เนื่องจากตอนนั้นมองเห็นว่าเธอกำลังมีทุกข์อะไรบางอย่าง  แต่เธอบอกว่ามีกิจธุระอื่นๆ  ที่สำคัญกว่า   ไม่สะดวกที่จะไป??  และเข้าใจว่าจนเดี๋ยวนี้  เธอก็ยังมองว่า  การไปปฎิบัติสมาธิภาวนา ไปวันแห่งสติหรืออะไรก็แล้วแต่   ไม่ใช่สิ่งจำเป็น และไม่ยังประโยชน์ใดๆ ให้ชีวิต   คนที่ไปปฎิบัติธรรมต้องเป็นคนที่ใกล้ตาย  หรือคนแก่  หรือสาวแก่ๆ ที่สิ้นหวังในชีวิต   ซึ่งเธอไม่ใช่คนแนวๆนั้น   เพราะประการแรกเธอก็ไม่ใช่คนที่ใกล้ตาย  ร่างกายเธอยังแข็งแรงดีอยู่  ไม่ได้เป็นโรคร้ายหรือมะเร็งใดๆ     ประการต่อมาคือเธอก็ไม่ได้แก่มากมายจนต้องเข้าวัดเพื่อปฎิบัติธรรม  แถมชีวิตเธอก็ยังมีความหวัง  มีหน้าที่การงานที่ดี  มีรายได้มีหน้าตาในสังคม   ไม่มีเหตุอันใดที่จะไปปฎิบัติธรรม   ฟังดูก็เป็นเรื่องที่มีเหตุมีผล ทีเดียว

   จะมีเหตุอันใดที่คนเราจะเข้าสู่วิถีนี้ได้ เล่า     ในคนทั่วๆไป   จากมุมมองที่กล่าวมาข้างต้น   คนที่เข้าสู่วิธีนี้  ต้องเป็นคนแปลกๆ   หรือไม่ก็ต้องเป็นคนที่มีปัญหาชีวิตเท่านั้น    และต่อให้มีปัญหาจริงๆ  สิ่งที่พวกเขานำมาใช้ดับทุกข์หรือแก้ปัญหาอย่างแรกก็คือวิธีการทั่วๆ ไป  ไปดูหนัง ไปฟังเพลง  ไปท่องเที่ยว   ไปซื้อของตามห้าง   และยิ่งไปกว่านั้นก็อาจจะดื่มเหล้าจนเมามายเพื่อให้ลืมเรื่องทุกข์ๆ   ไปสักระยะ    ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่า  ข้าพเจ้าก็เคยทำเช่นนั้น

มีครั้งหนึ่งอาจารย์หมอที่เป็น young staff    และคุ้นเคยกัน  ถึงกับทำท่าตกใจเมื่อข้าพเจ้าบอกว่า   ข้าพเจ้าจะไปดื่มเหล้าเผากลุ้ม  เนื่องจากงานการอันมากมาย และด้วยความเครียดจากระบบงานที่ยุ่งยากลำบากใจในโรงเรียนแพทย์ที่ข้าพเจ้ากำลังเข้ามาเรียนรู้อยู่    อาจารย์ตำหนิแบบขำๆว่า เป็นผู้หญิงไม่ควรพูดแบบนั้น   มีผู้หญิงที่ไหนกันที่บอกใครๆว่า จะออกไปดื่มเหล้าเผากลุ้ม    แถมอาจารย์ต้องพาข้าพเจ้าออกไปเลี้ยงข้าวปลอบใจและคลายทุกข์ แทนการปล่อยให้ออกไปกินเหล้าเผากลุ้มจริงๆ อย่างที่พูด

  แม้หลังจากจบมาทำงาน แล้ว   ด้วยลักษณะงานที่มีผู้ร่วมงานเป็นชายเป็นส่วนใหญ่   และแน่นอนว่าในช่วงสมัยนั้น  หมอผ่าตัดที่เป็นผู้หญิงมีไม่มากนักและนับคนได้    ข้าพเจ้าก็ยังใช้ชีวิตการงานในกลุ่มผู้ชาย และยังคงไปนั่งในวงเหล้า ฟังเพื่อนๆ  น้องๆ ทั้งหลายปรับทุกข์เรื่องการงานกัน    ข้าพเจ้านั่งอยู่ในวงเหล้าและควันบุหรี่มาจนเคยชิน  และไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก   ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าก็ยังไปนั่งอยู่ที่นั่นรับฟังพี่ๆน้องๆพูดคุยกัน  แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ดื่มอีกต่อไป   ไม่ใช่เพราะข้าพเจ้าเกิดเคร่งในศีลห้าขึ้นมาหลังไปปฎิบัติธรรม     แต่เป็นเพราะข้าพเจ้าพบว่า มันไม่มีประโยชน์อะไรกับชีวิต   มันไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าหายทุกข์   มันก็แค่ทำให้ผ่อนคลายสบายใจ  พูดคุยกันได้ง่ายขึ้น   แต่ทุกข์และปัญหานั้นยังคงอยู่     มันทำให้เราลืมทุกข์ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น

การอยู่ในวงเหล้าอาจจะไม่มีประโยชน์สำหรับใครหลายๆคน  แต่สำหรับข้าพเจ้าที่พบเจอมาก็คือ  ทำให้ผู้ชายหลายๆ คนพูดอะไรออกมาจากใจได้ง่ายขึ้น       แถมสักระยะพวกเขาทั้งหลายจะมีประเด็นเรื่องราวของโลก ชีวิต  ความคิด ความรัก  ออกมาพูดคุยแบ่งปันกัน   โชคดีที่ข้าพเจ้าไปอยู่ในวงเหล้าของผู้มีปัญญาหน่อย   คือทุกคนจะดื่มพอประมาณ  แถมหยุดดื่มเมื่อเห็นว่าชักจะเมามากไป  และไม่มีใครลุกขึ้นมาทะเลาะชักต่อยกันดังที่เป็นข่าว  ในหน้าหนังสือพิมพ์  นับว่า เป็นวงเหล้าที่เข้าท่าทีเดียว    จนถึงเดี่ยวนี้ข้าพเจ้าก็ยังไปนั่งอยู่ในวงเหล้าเป็นบางที ฟังเพื่อนๆ พี่ๆ พูดคุยกัน   แต่ไม่บ่อยมากแล้ว   แถมข้าพเจ้าก็ไม่ได้ดื่มไปกับเขา  เพราะไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรกับตัวเอง  และข้าพเจ้าก็ไม่ได้ใช้สิ่งนี้ ( เหล้า ) ในการเป็นสื่อนำในการพูดเปิดใจหรือพูดอย่างจริงใจกับใครสักคน    เมื่อจิตใจเราเปิดกว้างพอ  เราก็ไม่ต้องกลัวอะไร ในการแสดงความคิดเห็นหรือความรู้สึก   ประมาณว่าถ้าเราจะบอกรักหรือห่วงใยใครสักคน ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เหล้ามาย้อมใจ  หรือใช้วาจาอ้อมค้อมมากมาย    เราสามารถพูดออกมาได้เลยอะไรทำนองนั้น

 การเข้าสู่การปฎิบัติสมาธิภาวนาทำให้ข้าพเจ้า  จริงใจต่อความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น  เมื่อเรารู้สึกเป็นห่วงใครสักคนก็ควรจะพูดออกมาเสียเดี๋ยวนั้น  เพราะบางทีเราอาจจะไม่มีโอกาสพูดแบบนั้นอีกในอนาคต   ตอนข้าพเจ้าย้ายที่ทำงาน  น้องชายข้าพเจ้าขับรถมาส่ง และช่วยขนของมาให้  เมื่อข้าพเจ้าไปส่งเขากลับเชียงใหม่  ที่สถานีขนส่ง  ข้าพเจ้าแสดงความรักความห่วงใยกอดร่ำลาเขา  เขาถึงกับร้องไห้ออกมาทีเดียว   วินาทีนั้นจ้าพเจ้าก็รู้ว่า  เขารักและเป็นห่วงข้าพเจ้าแค่ไหน  นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่เคยแสดงต่อกันมาก่อน   และด้วยความคิดเห็นไปเองว่า   อีกฝ่ายน่าจะรู้ .. ซึ่งมันไม่จริงเลย  บางทีกับคนที่เรารักและเป็นห่วงเราจำเป็นต้องแสดงให้เรารับรู้   ไม่ใช่คาดเดาว่าเขาคงรู้ได้ด้วยตัวเอง

 อย่างไรเสียข้าพเจ้าว่า  วิชาของพระพุทธเจ้านั้นเยี่ยมยอดมาก  มันทำให้เราสามารถให้อภัยใครสักคนได้ง่ายขึ้น  และเป็นการเข้าใจและให้อภัยกันอย่างไม่เสแสร้ง   มันเป็นการให้อภัยและเข้าใจกันจากจิตเดิมแท้ของเรา   สำหรับบางคนเราอาจจะทำไม่ได้  เราก็ไม่จำเป็นต้องฝืนใจ   แต่เมื่อถึงเวลาจิตเราจะเปิดออกและเข้าใจใครคนนั้นได้เอง      การให้อภัยใครสักคนจึงไม่ได้เกิดจากการคิดไตร่ตรอง ดูเหตุดูผล ดูคะแนนนิยม และเปอร์เซนต์ตัวเลข    มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เมื่อใจของเราเปิดกว้างและยอมรับในสักวันหนึ่ง   แน่นอนว่าข้าพเจ้าก็ยังอยู่ในช่วงฝึกหัด    และยังไม่ได้บรรลุธรรมอะไรมากมาย   ข้าพเจ้าก็ยังมีอาการติดขัดในการให้อภัยใครบางคนอยู่   ..   แต่ข้าพเจ้าก็ไม่คิดฝืนใจที่จะให้อภัยใครในขณะที่เรายังไม่พร้อม  เพียงแต่จะระวังไม่ทำกายกรรม  วจีกรรม และมโนกรรม ต่อกันเพิ่มอีก

ข้าพเจ้าว่า  การที่ข้าพเจ้าไปศึกษาเรียนรู้การปฎิบัติจากสายเถรวาท    เข้าร่วมงานภาวนาตามแนวทางเซนมหายานของหมู่บ้านพลัม   ไปฝึกภาวนากับสายวัชรยานกับครูตั้ม  ทำให้เกิดสิ่งนี้กับข้าพเจ้า  ถ้าถามว่าจนถึงเดี่ยวนี้ได้อะไร   ได้ญานขั้นไหน    ข้าพเจ้าคงตอบไม่ได้   และไม่รู้เหมือนกัน    แต่ข้าพเจ้าคงกล่าวเพียงว่า  ข้าพเจ้าเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในใจในจิตที่เริ่มตื่นรู้      คำสอนจากทุกสายการปฎิบัติได้นำพาให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงไปดังที่เป็นอยู่  ดังที่คนรอบข้างข้าพเจ้ารู้สึกได้    ทว่าพอมีใครมาถามว่าจะเลือกสายไหน  ข้าพเจ้าไม่ขอเลือก เพราะสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ทำให้ข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้   

 ประโยชน์ของการไปปฎิบัติธรรมในสายต่างๆ  ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกดีที่พบผู้คนมากมายหลายสาขาอาชีพ  หลายความคิดเห็น  หลายสังคม  หลายแนวทางการปฎิบัติ   ข้าพเจ้าพบว่าในพุทธที่แท้ไม่ว่าสายไหนก็ใช้หลักการเดียวกันคือ   หลักแห่งการเลิกยึดมั่นในตัวตน   เคารพในผู้คนรอบข้าง และเห็นคุณค่าในสรรพชีวิต   มีความเมตตากรุณาต่อกัน  ไม่แบ่งแยกไม่ตัดสินคนอื่นไปก่อนโดยไม่รับฟังและเรียนรู้เรื่องราวต่างๆของเขาให้ดี เสียก่อน     ไม่ติดดี  หรือจะกล่าวให้ชัดๆ คือดีก็ไม่เอา  ชั่วก็ไม่เอา   และกลับมาเป็นคนธรรมดาๆ  มีดีบ้างชั่วบ้าง  แถมรู้จักยอมรับและยินดีที่จะเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงตัวเองมากขึ้น

     ด้วยความที่ข้าพเจ้าไปมาหลายสาย  แถมโชคดีมากที่แต่ละสายก็เป็นพุทธที่แท้   ข้าพเจ้าจึงแนะนำผู้คนทั้งหลายที่สนใจให้เข้าสู่การปฎิบัติสักสายใดสายหนึ่ง   เพราะเมื่อก้าวผ่านประตูเข้าไป และได้เริ่มปฎิบัติของสายใดสายหนึ่ง  เหตุและปัจจัยของเขาทั้งหลาย  จะนำพาเขาเข้าสู่สายพุทธที่แท้อื่นๆ  ในที่สุด   บางคนอาจจะเลือกแนวทางที่ถูกจริตของตนเองได้   กัลยาณมิตรข้าพเจ้าหลายคนพบว่าแนวทางเถรวาทคือแนวทางที่เขาชอบที่สุดและเหมาะแก่ตน   บางคนพบว่าแนวทางของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ คือวิถีอันงดงามที่เขาเลือก      และ มีหลายคนที่ชอบแนวทางของวัชรยานแบบที่ครูตั้มสอน   และเลือกนำมาปฎิบัติใช้

 แต่สำหรับผู้ไม่สนใจในพุทธศานา และไม่คิดจะเข้าสู่วิถีการปฎิบัติแล้ว  พวกเขาก็มีข้ออ้างที่น่าสนใจเช่นกัน

พอชวนไปเถรวาท  เขาก็บอกว่าไม่ไว้ใจพระ  ไม่ชอบเข้าวัด ไม่ชอบนุ่งขาวห่มขาว   พอชวนไปศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ก็บอกว่า  ไม่รู้ว่าใครสอน  พระก็ไม่ใช่ ชีก็ไม่เชิง   เป็นนิกายอะไรหรือเปล่าเห็นดินช้าๆ    ศูนย์วิปัสสนาก็ดูแปลกๆ ดูไปคล้ายรีสอร์ท   เอาเงินมาจากไหน  ค่าลงทะเบียนแพงไปหรือเปล่า ??

พอชวนไปสายเซนมหายานแบบหมู่บ้านพลัม    เขาก็บอกว่า  หลวงปู่ติชไม่รู้จัก  เป็นใครหรือ  ทำไมพระแต่งตัวแบบนั้น   พอบอกว่ามีการเจริญสติมีร้องเพลงด้วย  ก็กล่าว ว่า  ทำไมพระต้องร้องเพลง  ทำนองว่าต้องเป็นพระแปลกๆ ไม่น่าเชื่อถือเป็นแน่แท้   พอบอกว่าไม่ต้องนุ่งขาวห่มขาวก็มองว่า คงไม่เคร่ง ประมาณมาสังสรรค์ร้องเพลงคุยกัน  คงไม่ได้อะไรสักอย่างเดียว

 พอชวนไปสายวัชรยานแบบที่ครูตั้มสอน    เขาก็บอกว่า  ใครกันผมยาวอย่างกับฮิบปี้  อายุเท่านี้จะสอนอะไรใครได้  จบมาจากไหนนะ..  นาโรปะหรือ ?   นาโรปะคืออะไรอยู่ที่ไหน   อยู่ที่อเมริกาเหรอ     ที่นั่นจะมารู้เรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศานาเท่าที่เมืองไทยได้ไง    ไม่ต้องนุ่งขาวห่มขาวเหรอ ตามสบายไปรึเปล่า  มีดูหนังด้วยเหรอ  ไม่ใช่การปฎิบัติธรรมแล้วมั้ง  ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไร   เสียเวลาที่จะไป

 สรุปรวมความแล้วข้าพเจ้าก็พบว่า ผู้ที่ไม่ประสงค์จะศึกษาวิชาของพระพุทธเจ้า ไม่สนใจที่จะเข้าสู่วิถีแห่งการปฎิบัติ  สามารถมีข้ออ้างและหลักการมากมาย   อันมากไปด้วยเหตุและผลที่น่าสนใจ   ในการที่จะไม่ยอมสละเวลาแม้เพียง 7 วัน  ในการเข้าไปร่วมงานภาวนาิปฎิบัติธรรมใดๆ ไม่ว่ากับสายไหน    เพราะพวกเขาต่างมีข้ออ้างและตำหนิติเตียนทุกสายการปฎิบัติ  จนบางครั้งข้าพเจ้าผู้แนะนำมีอาการจิตตก  และรู้สึกโกรธ (แต่ก็ตามรู้ทันไม่สร้างวจีกรรมและกายกรรมต่อ ) เนื่องจากท่านเหล่านี้มาว่ากล่าวครูบาอาจารย์สายการปฎิบัติทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของข้าพเจ้าและคนทั่วไปในเส้นทางนี้ แถมบางท่านเป้นระดับอริยบุคคลด้วยซ้ำ 

       รุ่นน้องที่สนิทกันบอกว่า ข้าพเจ้าควรจะเลิกไปชักจูงแนะนำใครต่อใครให้ไปปฎิบัติธรรมได้แล้ว  เพราะมันจะทำให้ข้าพเจ้าจิตตก  และไปรบกวนเขาเหล่านั้นมากกว่า   แถมอาจจะสร้างความรำคาญและทำให้พวกเขา Negative ต่อพุทธศาสนา วิ่งหนีจากวัดวาอารามมากขึ้น คนแต่ละคนย่อมมีเหตุปัจจัยของตน เข้าทำนองว่า  มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เขาจะต้องวิ่งวุ่นไปกับโลก สุขๆ ทุกข์ๆ ไปตามโลกแบบนั้น คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามบุญและกรรมของแต่ละคนไป เราก็ปฎิบัติของเราไปไม่ต้องไปห่วงเขา ตัวใครตัวมันอะไรทำนองนั้น

 ปัจจุบันข้าพเจ้าจึงระมัดระวังในการพูดจาทางธรรมกับใครๆ  และเลิกชักชวนใครต่อใครไปเรื่อยเปื่อย แม้จะเป็นคนรอบข้าง และใกล้ชิดสนิทกันก็ตาม   เพราะที่ผ่านมา  ข้าพเจ้าพบว่า  ผู้สนใจและฝักใฝ่ในการเข้าสู่วิถีแห่งการปฎิบัติ     เราไม่ต้องพูดซ้ำหรือชวนไปหลายๆรอบ    ผู้ที่สนใจนั้น บางทีก็เดินเข้ามาถามอย่างสนใจ   และขอทราบสถานที่   ว่าจะไปอย่างไร ที่ไหน   มีหนังสือหรือไม่   แถมมีความกระตือรือร้นและสนใจโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

 คงจะจริงดังที่มีคนกล่าวกันไว้  สำหรับ ผู้ที่ไม่สนใจในธรรมนั้น  ต่อให้พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับยืนอยู่เบื้องหน้า   พวกเขาก็คงจะไม่เห็น...     

 

  

คำสำคัญ (Tags): #พุทธศาสนา
หมายเลขบันทึก: 253822เขียนเมื่อ 6 เมษายน 2009 14:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

เห็นด้วยครับ กับที่ว่าศาสนาพุทธต้องฝากไว้กับพุทธบริษัท 4

น่าชื่นใจที่เมืองไทยก็เริ่มมีภิกษุณี แม้ยังไม่ค่อยได้รับการยอมรับในประเทศเท่าที่ควร

อุบาสก อุบาสิกา ก็เป็นเสาหลักที่สำคัญมากครับ

ผมก็ศึกษาทางด้านมหายาน และ วัชรยานบ้าง แต่ก็เดินตามทางเถรวาทเป็นส่วนใหญ่

แต่สุดท้าย ทุกสายก็ไปถึงที่หมายที่ให้เราถอดถอนตัวตน ละกิเลส มีจิตเมตตาเหมือนกันนะครับ ผมว่า

นึกถึงกามนิตที่นั่งสนทนากับพระพุทธเจ้าทั้งคืน แต่ไม่เลื่อมใสศรัทธา ยังออกตามหาพระพุทธเจ้าจนถูกควายขวิดตาย เฮ้อ น่าสงสาร

มาฟังลูกศิษย์ครูตั้ม

เส้นทางลักษณะนี้มีเพื่อร่วมทางเยอะน่ะครับ

มาเป็นกัลยาณมิตรที่เข้าใจทีท่าของบทความนี้

สวัสดีครับพี่ยา...

รู้สึกดีมากๆครับที่ได้เรียนรู้แบ่งปัน  สนทนาธรรมเมื่อวันก่อนครับ

......

เรื่องขวนคนอื่นนั้น ผมทำเป็นประจำ  ไปเรื่อยๆครับ...

แต่ไม่บังคับเขามาก  บอกครั้งสองครัง  ถ้าสัมผัสว่ามีของเดิมก็จะรุกครับ

แต่ถ้ายังไกลมาก ก็อาจจะห่วงหน่อย  แต่ก็รอฉกครับถ้ามีจังหวะที่จะเเบ่งปันให้เขา

ไม่ท้อครับ

ทำต่อไปเรื่อยๆ.....

ยังยินดี ทุกครั้งที่พี่ยา มีความปรารถนาดีต่อคนที่พี่ยารักเสมอ...

เมื่อพี่รู้สึกที่อยากจะให้ก็ทำเถอะค่ะ เพราะเราทำด้วยความหวังดี และเราเห็นในสาระสำคัญของสิ่งที่เราจะให้ต่อคนที่เรารัก...

อาจทำให้เขาเห็นและรู้แม้เพียงหยาบๆ... เมื่อถึงเวลาที่เขาเหล่านั้นจะได้สัมผัสด้วยใจของเขา อย่างละเอียดเองแล้ว เขาเหล่านั้นจะระลึก ถึงสิ่งที่พี่ยามอบให้ด้วยใจ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือ บทความ หรือแม้ด้วยบทสนทนาที่เคยเกิดขึ้นแล้วก็ตาม...

ส่วนการรักษากาย วาจา ใจในการแนะนำเขาเหล่านั้นของเราก็คงทำให้พอดีเพื่อไม่ให้เขาเหล่านั้นได้ล่วงลำพาดพิงถึงสิ่งที่ไม่ควร ด้วยความไม่รู้...

และที่สำคัญเราเองนั่นแหละที่ต้องดูจิต ตัวเองให้ทันเมื่อผิดหวังจากสิ่งที่เราคาดไว้

เป็นกำลังใจเสมอค่ะพี่...

พรุ่งนี้กินข้าวด้วยกันเนอะ

สวัสดีค่ะคุณ phornphon

ดีใจค่ะที่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน    ขอบคุณมากค่ะที่แวะเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยกัน 

สวัสดีค่ะคุณ plengvidh

เส้นทางนี้  มีเพื่อนร่วมทางมากมายค่ะ อาจจะคนละสายการปฎิบัติ แต่ก็ยิ้มรับทักทายกันได้เสมอด้วยมิตรไมตรีค่ะ

ท่าทีของบทความนี้ออกแนวพร่ำบนเสียดาย และเศร้าใจเล็กๆที่ชาวสยามทั้งหลายอยู่ในเมืองพุทธ แต่ไม่สนใจในวิถีพุทธค่ะ น่าเสียดายจริงๆ 

เพิ่งไปกราบหลวงพ่อสายเถรวาทที่มีชื่อเสียง คือหลวงพ่อเปลี่ยน  ได้พบเห็นชาวฝรั่งหนุ่มๆ คนหนึ่งดั้นด้นมาจากประเทศออสเตรเลีย มาขออยู่ปฎิบัติธรรมกับหลวงพ่อที่วัดป่าอรัญญวิเวก แถมก่อนหน้านั้นเขาไปกราบพระอาจารย์ต่างๆ ที่วัดแถวๆอีสานสาขาวัดหนองป่าพง  และไปกราบหลวงตามหาบัวมาแล้ว พอมีคนบอกว่าถ้ามาเชียงใหม่ให้มากราบหลวงพ่อเปลี่ยนด้วย เขาก็ดั้นด้นมาขออยู่ขอศึกษาปฎิบัติธรรมด้วย  พอหลวงพ่อเปลี่ยนอนุญาตเขามีท่าทางดีอกดีใจมาก กราบท่านประหลกๆ ด้วยท่าทีที่เคารพอย่างสูง   เห็นแล้วยิ่งนึกเปรียบเทียบว่า  คนไทยแท้ๆ กลับไม่สนใจ  คนฝรั่งกลับข้ามดินข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงเมืองไทย  เพื่อมาตามหาครูบาอาจารย์  รู้สึกสังเวชใจจริงๆ ที่ชาวสยามบางส่วนกลับไม่เห็นคุณค่า และไม่เห็นความสำคัญในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่สนใจปฎิบัติภาวนา  มัวสนใจแต่รูปแบบเปลือกนอก ..ขอบ่นต่ออีกเล็กน้อยค่ะ

CC, kmsabai & น้องวี

เป็นโอกาสดีมากๆ ที่เราได้นั่งคุยกันในวันก่อน  น่าจะมีอย่างน้อยเดือนละครั้งนะ  ว่าไหม๊ ? ที่ร้านกาแฟสักร้านพร้อมขนมอร่อยๆ

ยินดีเจ๊า...

คงมีเหตุให้เราได้อยู่เพื่อพูดคุยกับกัลยาณมิตรที่นี่อีกสักระยะเป็นแน่แท้จริงๆ...

วันพุทธบริษัท 4 คือวันอะไรหรอค่ะ หนูทำการบ้านอยู่ -*-

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท