เมื่อพูดถึงการจัดการความรู้ คนส่วนใหญ่ก็มักจะพูดว่า ต้องคิด ต้องทำ ต้องพูดในแง่บวก ไม่ให้พูดในแง่ลบ เพราะ KM ให้มองเชิงบวก
แต่ที่ดิฉันได้เขียนชื่อเรื่องเช่นนี้เพื่อเป็นข้อคิดของความเข้าใจให้กับตนเองในหลักการของเครื่องมือชิ้นนี้ว่า "ตนเองเกิดการยอมรับถึงความไม่เข้าใจถึงเจตนาของการใช้และประโยชน์ของ KM เพราะยิ่งทำไป ๆ หรือ ใช้ไป ๆ ก็เริ่มสงสัยแล้วว่า เราชักจะไม่แน่ใจว่าเราเองนั้นเข้าใจเครื่องมือตัวนี้หรือเปล่า ไม่รู้ว่าใช้ถูก ใช้เป็นจริงหรือเปล่า"
คำถามดังกล่าวเริ่มมาพัวพันกับสิ่งที่ปฏิบัติและคิดว่า "ตนเองเข้าใจ KM" ตัวอย่างเช่น ในการตั้งเป้าหมายการจัดการความรู้ ไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นที่มีข้อสงสัยได้เข้าใจถึงวิธีการได้มาซึ่ง KV นั้น สามารถใช้ "ธารปัญญากำหนดได้" โดยเริ่มต้นจากการวิเคราะห์งานที่ตนเองทำ อาจจะนำกิจกรรมหรือขั้นตอนงานมาประเมินผลดูก็ได้ แล้วมาวิเคราะห์ความรู้ที่จำเป็นต้องใช้มีอะไรบ้างที่จะช่วยยกระดับ/แก้ปัญหาในการทำงานดังกล่าวให้ดีขึ้น หลังจากนั้นจึงค้นหา K ที่จะใช้มีอยู่ที่ไหน/จะได้มาอย่างไร/มีวิธีการถ่ายเท K ให้กับคนอื่นได้เข้าใจ สิ่งดังกล่าวจะถูกลำดับออกมาเป็นกิจกรรม ขั้นตอนงาน กระบวนการ และผลที่เกิดขึ้น ที่เป็น "แผนการจัดการความรู้ (KM Action Plan)"
แต่ถ้าพบว่า เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานยังไม่รู้ว่า จะมีวิธีการทำอย่างไรให้เกิดแผนการจัดการความรู้ขึ้นได้ เราก็จะมีประเด็นที่จะจัดการความรู้ให้กับเจ้าหน้าที่ทันทีนั่นก็คือ เรื่องการจัดทำแผนการจัดการความรู้ ที่จะมีการเชื่อมโยงสู่เนื้อหา และ K ต่าง ๆ เพื่อใช้สนับสนุนให้เกิดชิ้นงานดังกล่าวขึ้น
ดังนั้น การจัดการความรู้ ถึงแม้ดิฉันจะเห็นว่า เป็นเครื่องมือที่ดี มีการถ่ายทอดและถ่ายเทความรู้ในเรื่องดังกล่าวภายใต้กลไกของพื้นฐานที่เจ้าหน้าที่เป็นหรือเข้าใจ เรื่องการจัดกระบวนการ ก็จะทำให้สื่อสารกันง่ายขึ้น แต่ถ้าเจ้าหน้าที่เกิดความสับสนในเรื่องกระบวนการ ก็จะทำให้การจัดการความรู้ที่นำไปใช้นั้นไม่เป็นธรรมชาติ เป็นเสมือนภาระงานที่เพิ่มขึ้นก็คือ แบก KMและตกหลุม KM
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น การฉุดรั้งขึ้นมาก็คงจะยาก เพราะยังมีภาพของประสบการณ์เก่าที่ยากต่อการปรับเปลี่ยน/ลบทิ้ง แต่ทั้งนี้ความสำเร็จของ KM ก็ยังคงมีเหลืออยู่ที่ "ยังมีคนที่เข้าใจกระบวนการและนำไปใช้ทำงานอย่างต่อเนื่อง" การจัดการความรู้ก็สามารถช่วยงานได้จริง.
ไม่มีความเห็น