เรื่องเล่าจาก นายวสุตว์ ป้านทอง อสม.ดีเด่น สาขาเอดส์ในชุมชน
เริ่มต้นแห่งชีวิต
ชีวิตผมในวัยเด็กไม่ค่อยโลดโผนหรอกครับ ผมโตมาในครอบครัวของชาวนา กระดูกสันหลังของชาติโดยแท้ ผมเป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 7 คน ผมได้รับความอบอุ่นทั้งจากพ่อแม่และพี่ ๆ พ่อกับแม่นอกจากจะทำนาแล้ว แม่ยังทำหน้าที่แม่บ้านที่มีหน้าที่คอยฟูมฟักลูก ๆ ทั้ง 7 คนให้ได้รับความรักความอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ที่ผมบอกว่าชีวิตในวัยเด็กของผมไม่โลดโผนก็เพราะว่าผมไม่ค่อยเกเรกับพ่อแม่ หรือครูในโรงเรียนสักเท่าไร ผมเป็นเด็กอยากรู้อยากเห็นและไขว่คว้าที่จะเรียนรู้ ผมเรียนจบชั้นประถม 6 ที่โรงเรียนใกล้บ้าน หลังจากผมจบชั้นมัธยมปีที่ 3 แล้ว ผมเลือกที่จะเรียนในสายอาชีพด้วยเหตุผลอยากอยู่กับตัวเอง ผมเรียนสายอาชีวะ ที่วิทยาลัยเทคนิคราชบุรี ในภาพลักษณ์สายตาของคนอื่นอาจมองว่าเด็กเทคนิคเกเร เหลือขอ เป็นทางเลือกสุดท้ายที่เด็กขยันเรียนที่เขาไม่เลือกมาเรียนกัน เด็กเทคนิคอย่างผมถึงเป็นเด็กที่บางคนจะมองว่าถูกคัดออกจากการเรียนสายสามัญ แต่ผมกลับคิดว่าเด็กที่เรียนสายสามัญบางคนก็ต้องแก่งแย่งกันซะเกือบทุกเรื่อง แย่งกันหาที่เรียน แย่งกันหาที่ติว หาที่เรียนพิเศษ แล้วก็แย่งกันสอบเข้ามหาวิทยาลัย และสุดท้ายเมื่อจบออกมา ก็ต้องมาเจอการแก่งแย่งกันเข้าทำงานอีก ผมนึกแล้วผมไม่เอาดีกว่า เรียนสายอาชีพดีกว่าเพราะสามารถตัดรายการแย่งออกไปได้หลายรายการ ผมจึงเลือกเรียนอาชีวศึกษา สาขาที่ผมเรียนนะหรือ สาขาการบัญชีครับ
วัยทำงานกับการค้นหาตัวเอง
หลังจากจบการบัญชีจากวิทยาลัยเทคนิคราชบุรี ผมก็เข้าสู่กระบวนการแก่งกับเค้าด้วยอย่างหนึ่งก็คือการแก่งแย่งกันทำงาน ผมทำงานหลายอย่าง ตรงตามสาขาที่เรียนบ้าง ไม่ตรงบ้าง ทั้งเซเว่น-อีเลฟเว่น โรบินสัน อื่น ๆ อีกมากมาย สุดท้ายผมก็เริ่มรู้สึกเบื่อกับงานที่ทำ ผมชอบทำอะไรที่อิสระมากกว่า ผมพลิกชีวิตตัวเองที่หลายคนอาจจะไม่คาดฝัน ผมกลับมาเรียนใหม่ แต่เป็นการเรียนด้านอาชีพเฉพาะลงไปอีก คือผมเลือกเรียนตัดผมที่โรงเรียนสอนตัดผมแก้ว ที่จังหวัดราชบุรี ชีวิตก็สนุกดีครับ ผมใช้เวลาเรียนอยู่ 1 ปี เมื่อใกล้จะจบหลักสูตร ผมได้รู้จักรุ่นพี่คนหนึ่งที่จบจากโรงเรียนสอนตัดผมแก้วเหมือนกัน เขาไปเปิดร้านตัดผมอยู่ที่พัทยา เขาชวนให้ผมไปฝึกงานที่นั่น ผมปรึกษาพ่อแม่และพี่ ๆ แล้วทุกคนไม่มีปัญหา “แล้วแต่ลูก ดูแลตัวเองให้ดีก็แล้วกัน” นี่คือทำพูดที่ทุกคนในบ้านบอกผมในวันที่ผมบอกพวกเขาว่าผมจะไปทำงานตัดผมที่พัทยา
สำนึกรับบ้านเกิด
ผมขยับฐานะจากเด็กฝึกตัดผม มาเป็นช่างตัดผมที่ร้านตัดผมของรุ่นพี่ที่พัทยานั่นเอง รายได้ดีครับ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ร้านตัดผมที่ผมทำงานอยู่เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา. 7.จึงถึงเวลา 20 อัตราค่าบริการตัดผมดูแล้วก็สูงอยู่ เพราะเศรษฐกิจที่นั่นดี ก็เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติเยอะมาก ร้านตัดผมที่ผมทำงานอยู่คิดค่าบริการตัดผมครั้งละ 60 บาท รายได้ก็มากอยู่ครับ ทั้งเงินเดือนและค่าทิป วัฒนธรรมฝรั่งมักจะจ่ายพิเศษแก่ผู้ให้บริการซึ่งถือว่าเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่เขา ถึงแม้เงินเดือนและค่าทิปจะมากอยู่ แต่ค่าใช้จ่ายอื่นก็มากเหมือนกัน ผมเป็นช่างตัดผมที่พัทยา 1 ปี เริ่มนึกถึงชีวิตของตัวเองอาจเป็นเพราะอายุของผมเริ่มมากขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ผมบอกรุ่นพี่ถึงความต้องการที่ผมกลับมาอยู่บ้าน รุ่นพี่ไม่ว่าอะไร ผมรวบรวมเงินเก็บได้ก้อนหนึ่ง ผมกลับมาเปิดร้านตัดผมที่บ้านเจ็ดเสมียน ผมเช่าที่ดินของวัดตึก ตำบลเสมียน เปิดเป็นร้านตัดผมเล็ก ๆ อยู่ติดถนน ร้านใหม่ของผมช่างแตกต่างกับร้านเดิมที่ผมเคยทำอยู่ที่พัทยาเสียเหลือเกิน ไม่มีกระจกรอบด้าน มีแต่ฝาไม้ไผ่ ไม่มีเครื่องปรับอากาศ มีแต่อากาศธรรมชาติที่พัดไหว ๆ ยามบ่ายจนถึงเย็น ไม่มีปล่องไฟริ้วแดงขาวที่หน้าร้าน จนผมนึกเอาเองว่าอยากเอาผ้าแดงขาวมาปิดไว้ที่หน้าร้านเหมือนกัน เอาไว้เป็นสัญลักษณ์ไงครับว่าแขวนผ้าขาวแปลว่าเปิดร้าน แขวนผ้าแดงแปลว่าปิดร้าน ความหมายอาจจะไม่ตรงกับของเดิมแต่มันก็เป็นความหมายของผม ไม่มีก้าวอี้เบาะอย่างดี มีเพียงเก้าอี้ 1 ตัว กับกระจก 1 บาน ไม่มีแสงไฟโคมห้อย มีแต่แสงนีออน นอกจากความแตกต่างเรื่องสถานที่แล้วยังแตกต่างกันเรื่องราคาด้วยนะครับ ผมคิดค่าบริการแค่ครั้งละ 40 บาท แต่ผมก็ภูมิใจครับ เพราะผมกล้าเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่านี่คือร้านตัดผมของผมที่ผมจะให้บริการแก่ญาติพี่น้องและคนในชุมชนของผมเอง
อสม. คืออะไร
ผมกลับมาเปิดร้านตัดผมอยู่ที่บ้านได้ 6 ปี ป้าลิ้วซึ่งเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกับผมได้มาชวนให้ผมเป็น อสม. “อสม. คืออะไรหว่า” ผมนึกในใจ ป้าลิ้วอธิบายว่า “อสม. ก็คือคนที่ช่วยหมอวัดความดันไง” แล้วทำไม อสม.ถึงแค่วัดความดัน ผมก็สงสัยไปเรื่อย ป้าลิ้วพยายามอธิบายให้ผมเข้าใจจนได้ เหตุผลที่ป้าลิ้วมาชวนผมก็เพราะว่า อสม.ตำบลเจ็ดเสมียนที่ผมอยู่นั้นมีจำนวนน้อย หลังจากที่ผมรับปากป้าลิ้วแล้ว ผมก็มาสมัครกับหมอที่โรงพยาบาลเจ็ดเสมียน วันที่ผมไปสมัครนั้นหมอที่โรงพยาบาลดีใจมากเพราะป้าลิ้วแกไปโฆษณาอวดอ้างว่าผมเป็นลูกชาวเจ็ดเสมียนที่พอจะมีความรู้อยู่บ้าง น่าจะช่วยงานได้ดี
ริบบิ้นสีแดงเริ่มแผลงฤทธิ์
ผมเป็น อสม. อยู่ได้สักระยะหนึ่ง องค์กรหมอไร้พรมแดน ได้มาทำวิจัยเรื่องเอดส์ร่วมกับสมาคมฟ้าสีรุ้ง ในพื้นที่อำเภอโพธาราม พร้อมกับมีการจัดงาน Party red ขึ้น ผมมาร่วมงานกับเขาด้วยเหมือนกันโดยการชวนของหมอจากโรงพยาบาลเจ็ดเสมียนนั่นแหละ ผมรู้สึกว่างานสนุกมาก วิทยากรบรรยายความรู้เรื่องโรคเอดส์ได้อย่างสนุกสนาน ผมได้รับความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์แบบที่ไม่เคยรู้มาก่อน ผมมีความเข้าใจ เห็นใจ คนที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ รับรู้ถึงความทุกข์ทรมานกับโรคที่เขาเป็นอยู่ เนื่องจากโรคเอดส์เป็นโรคที่ใครเป็นแล้วสังคมมักตีตราว่าเป็นคนไม่ดี โดยคนส่วนใหญ่จะโยงไปถึงการได้รับเชื้อเอดส์ว่ามาจากการมีเพศสัมพันธุ์ที่ส่ำส่อน หรือมีเพศสัมพันธุ์กับผู้ที่ขายบริการทางเพศ ซึ่งแท้จริงแล้วการได้รับเชื้อเอดส์นั้นมาจากหลายวิธี และมีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเข้าใจผู้ที่ติดเชื้อเอดส์ เท่าที่ผมรู้จักเป็นอย่างดีที่ท่านอลงกตแห่งวัดพระบาทน้ำพุนี่แหละ
หลังจากคืนงาน Party Red ผ่านไปแล้ว ผมจึงได้คิดว่า การเป็น อสม. ไม่เพียงแต่ช่วยหมอวัดความดันเท่านั้น ยังมีงานอื่นอีกมากมายที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของเพื่อนบ้านเรา อาจเป็นเพราะว่าการวัดความดันหรือการช่วยหมอใส่ทรายอะเบทฆ่าลูกน้ำยุงลาย เป็นงานที่ อสม.ทำกันบ่อย และเห็นได้ชัดเจนกว่างานอื่น แต่ผมมีความคิดที่แปลกแยกออก อสม. คนอื่น ๆ ผมคิดว่างานของ อสม. ที่ไม่ค่อยมีคนทำแล้วผมมาช่วยทำน่าจะดีกว่า ผมจึงเลือกที่จะมาทำงานเกี่ยวกับโรคเอดส์ด้วยเหตุผลเดียว คือเป็นงานที่ท้าทายความสามารถและน่าสนุก เป็นงานที่อาจดูไม่โดดเด่นเหมือนการวัดความดันหรือใส่ทรายอะเบท แต่ผมคิดว่าผมจะทำงานเอดส์ในชุมชนให้มันโดดเด่นขึ้นมาให้ได้
เป็น (ผู้รับผิดชอบ) เอดส์อย่างเต็มตัว
หลังจากผ่านงาน Party Red ไปแล้ว ก็มีการจัดตั้งแกนนำกลุ่มเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอดส์ ผู้ป่วยเอดส์และบุคคลทั่วไปในชุมชน รวมถึงกลุ่ม MSM ( Men who have sex with men) มีชื่อว่า กลุ่มสายรุ้งโรงพยาบาลโพธาราม จัดตั้งขึ้นที่โรงพยาบาลโพธาราม ผมมีความมุ่งมั่นเกี่ยวโรคเอดส์อย่างจริงจัง ผมจึงสมัครเป็นแกนนำช่วยเหลือกิจกรรมของชมรมทันที่ ผมไปสมัครด้วยตนเองด้วยเหตุผลที่มีอยู่แล้วในตัวผมคือ “การได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อเพื่อนมนุษย์” เมื่อผมเป็นแกนนำแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือการอบรมเพื่อเป็นวิทยากร ผมได้รับการอบรมในหลักสูตร “จิตวิทยาการให้คำปรึกษา” โดยองค์กรหมอไร้พรมแอน เป็นผู้อบรมให้ ผู้ที่เป็นสมาชิกของชมรมทุกคนคือผู้ที่ติดเชื้อเอดส์และประชาชนทั่วไป รวมถึงกลุ่มเสี่ยง MSM หน้าที่หลักของผมก็คือ ทุกวันพุธตอนเช้า ตั้งแต่เวลา 8.30 – 12.00 น. ผมจะอยู่ที่ชมรม เพื่อคอยให้คำปรึกษา คำแนะนำ ให้ความรู้ การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ที่ติดเชื้อ รวมทั้งการอยู่ร่วมกันกับคนในชุมชน การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน สำหรับวันอื่น ๆ ผมก็ยังทำงานให้กับกลุ่มสายรุ้งอยู่เสมอ โดยผมรับให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ครับ (ทันสมัยซะด้วย) เมื่อเริ่มต่อตั้งกลุ่มใหม่ ๆ ยังมีสมาชิกไม่มากนัก แต่พอสักระยะหนึ่งเริ่มมีคนเข้ามาในชมรมมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมสังเกตเห็นใบหน้าและแววตาของทุกคนเปลี่ยนไป จากวันแรกที่เข้ากลุ่มทุกคนมีใบหน้าเศร้าหมอง ไม่สบตาใคร ไม่ค่อยพูด กิจกรรมของกลุ่มได้ทำให้พวกเขาเปิดตัวมากขึ้น การเปิดตัวไม่เพียงแต่ให้ข้อมูลเท่านั้น แต่กลับได้รับกำลังใจจากผู้ติดเชื้อด้วยกน หลังจากออกจากลุ่มไปแล้วแต่ละคนมีความใส่ในตนเองมากขึ้น จนทำให้พวกเขาเหล่านั้นมีสุขภาพที่ดีขึ้น มีมิตรภาพเกิดขึ้นในกลุ่มของพวกเรา
พลังกลุ่ม เพื่อพลังใจ ห่างไกลจากเอดส์
ผมเก็บเกี่ยวประสบการณ์การเป็นแกนนำในผู้ติดเชื้อเอดส์ที่กลุ่มสายรุ้งอยู่ประมาณ 4 ปี ผมมีความคิดสำนึกรักบ้านเกิดอีกครั้ง พอดีกับทางหมอของโรงพยาบาลเจ็ดเสมียนก็มีโครงการเกี่ยวกับการจัดตั้งกลุ่มผู้ติดเชื้อเอดส์เช่นเดียวกัน ผมจึงกลับมาช่วยหมอที่โรงพยาบาลเจ็ดเสมียนมาตั้งกลุ่มใหม่ โดยมีชื่อกลุ่มว่า “กลุ่มพลังใจ” กิจกรรมที่ผมทำก็คล้าย ๆ กับที่ทำอยู่ที่กลุ่มสายรุ้งที่โรงพยาบาลโพธาราม แต่ที่นี่ท้าท้ายกว่าครับ เพราะผมเป็นคนพื้นที่ สมาชิกที่มาเข้ากลุ่มก็เป็นคนพื้นที่เช่นเดียวกัน อย่างที่ผมเกริ่นไว้แต่แรกแล้วว่า การเปิดตัวกับผู้ที่ติดเชื้อเอดส์นั้นค่อนข้างยังน้อยอยู่ แต่พอผมตั้งกลุ่มพลังใจก็มีสมาชิกในกลุ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน ผมจึงสรุปเอาเองครับว่า การทำงานของผมนั้นได้เข้าถึง (ใจ) ผู้ติดเชื้อเอดส์ได้ในระดับหนึ่งเช่นเดียวกัน ผมได้รับเกียรติอย่างมากจากแพทย์ผู้ตรวจร่างกายของสมาชิกกลุ่มพลังใจครับ ทุกคนที่เข้ามาร่วมกิจกรรมในกลุ่มแล้ว สามารถเข้าห้องตรวจกับแพทย์ได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านการซักประวัติจากพยาบาลหน้าห้องตรวจอีก เป็นการช่วยให้ผู้ที่ติดเชื้อเอดส์มีความเป็นส่วนตัวเรื่องเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวของเขามากยิ่งขึ้น ถึงแม้ผมจะมาจัดตั้งกลุ่มใหม่แล้วผมก็ยังไม่ทิ้งกลุ่มสายรุ้งเดิมนะครับ ผมยังคงทำหน้าที่อยู่ เพียงแต่ผมไม่ต้องไปให้คำปรึกษา คำแนะนำ ในทุกวันพุธอีกแล้ว แต่ผมก็ยังคงให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์อยู่เช่นเดิม นอกจากนี้แล้วหากกลุ่มสายรุ้งมีการจัดอบรมฟื้นฟูความรู้แก่ผู้ติดเชื้อเอดส์หรือกลุ่มบุคคลทั่วไป เมื่อใด ผมก็ยังคงรับหน้าที่การเป็นวิทยากรให้ความรู้อยู่เหมือนเดิม
ในการทำงานทั้งหมดนี้ช่วงแรกได้รับแรงใจและสิ่งสนับสนุนจากเครือข่าย หมอไร้พรมแดน จากประเทศเบลเยียม เป็นผู้ให้การสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นวิทยากรที่มาให้ความรู้แก่พวกแกนนำอย่างพวกผมเป็นระยะ ๆ แล้ว ยังมีพวกถุงยาง และพวกสารหล่อลื่นต่าง ๆ แต่ปัจจุบันองค์กรหมอไร้พรมแดนได้หมดสัญญาไปแล้ว สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย ได้เข้ามาให้การสนับสนุนต่อ ทำให้กิจกรรมของชมรมของเราขยายงานไปเรื่อย ๆ นอกจากการให้คำแนะนำ คำปรึกษาแล้ว ผมยังมุ่งเน้นในกลุ่มประชาชนทั่วไปที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ด้วย โดยเฉพาะกลุ่ม MSM ผมได้จัดกิจกรรมการเข้าค่ายไปแล้วถึง 6 ครั้ง โดยสมาชิกเป็นกลุ่ม MSM จากอำเภอบ้านโป่ง อำเภอโพธาราม อำเภอดำเนินสะดวก และอำเภอใกล้เคียง งบประมาณที่ได้นอกจากสมาคมฟ้าสีรุ้งแล้ว ยังมีสำนักควบคุมโรค มูลนิธีเอดส์แห่งประเทศไทยให้การสนับสนุนด้วย
การที่ผมได้ทำงานกับกลุ่มผู้ติดเชื้อเอดส์มานานจนถึงทุกวันนี้ ผมรับรู้ถึงความทุกข์ทรมานกับความโชคร้ายของพวกเขาเสมอ ผมมีส่วนเรียกร้องให้พวกเขาได้รับการสนับสนุนเงินจาก อบต. โดยจ่ายให้เดือนละ 500 บาทต่อคน สำหรับเป็นค่าเลี้ยงชีพในกรณีที่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ นอกจากนี้ผมยังพยามยามติดต่อกับกลุ่ม NGO พร้อมกับส่งรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อขอการสนับสนุนเป็นเงินสำหรับผู้ติดเชื้อที่จะเดินทางมาเข้ากลุ่ม โดยขอให้สนับสนุนปีละ 2,000 บาทต่อคน กำลังรอการอนุมัติอยู่ครับ
ผมสามารถทำงานเกี่ยวกับโรคเอดส์ได้ทุกที่และทุกเวลาครับ นอกจากช่วงของการทำงานที่กลุ่มพลังใจ ในขณะที่ผมประกอบอาชีพของผมอยู่ (ช่างตัดผม) ผมก็สามารถทำงานควบคุมโรคเอดส์ได้เช่นเดียวกัน ลูกค้าที่มารับบริการตัดผม ผมก็จะแนะนำให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคเอดส์ไปด้วยเลย บางครั้งก็จะมีวัยรุ่นมีพูดคุยเกี่ยวกับโรคเอดส์และก็มาขอถุงยางด้วย ผมยินดีแจกให้ครับ ทุกวันนี้ร้านตัดผมของผม นอกจากจะให้บริการตัดผมแล้ว ยังให้บริการแจกถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่นที่ใช้สำหรับผู้ชายที่มีโอกาสมีเพศสัมพันธุ์กับผู้ชาย ผมไม่รู้สึกเคอะเขินเลยที่จะพูดเรื่องพวกนี้ในที่สาธารณะ เพราะผมคิดว่าอย่างน้อยคำพูดของผม การกระทำของผมก็ช่วยให้คนปลอดภัยจากการติดเชื้อเอดส์ได้ครับ
ประสบการณ์ที่ได้ทั้งรอยยิ้มและน้ำตา
รวมระยะเวลาของการทำงานเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอดส์ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันราว 6 ปี แล้วนะครับ ประสบการณ์ที่ได้ผมจดจำอย่างไม่รู้ลืม ถึงแม้หลายคนอาจมองว่าเป็นงานที่ทำกับกลุ่มที่บางคน (ผมใช้คำว่าบางคนนะครับ) ยังรู้สึกรังเกียจพวกเขา แต่ผมนี่แหละครับที่กล้าพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ผมไม่ได้รู้สึกรังเกียจเลย สิ่งที่บั่นทอนความรู้สึกของผมนอกจากการไม่ค่อยยอมรับจากคนบางคนแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมได้ยินโชย ๆ มาเหมือนกันก็คือ “มันเป็นเอดส์ด้วยหรือป่าวว่ะ ถึงได้สนใจเรื่องนี้จัง” ที่รุนแรงกว่านั้น บางคนก็สงสัยว่าผมจะเป็นผู้ชายอย่างว่าหรือเปล่า แต่ผมไม่สนใจหรอกครับว่าคนอื่นจะคิดยังงัย แต่สิ่งที่ผมนึกถึงเสมอและนึกถึงตลอดเวลาคือคนที่ติดเชื้อเอดส์ และผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ “ผมอยากให้พวกเขาดูแลและรักษาตัวเองให้ดีที่สุด เพราะสุขภาพของเรากับของเขาต่างกัน” นี่คือคำพูดของผม ที่ผมจะตอบใครต่อใครที่มักถามผมเสมอว่า “ทำไมผมจึงสนใจที่จะมาทำงานเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อเอดส์” อีกคำพูดหนึ่งที่มักจะได้ยินบ่อย ๆ ก็คือ “ทำไปทำไม เสียเวลาทำมาหากิน” คำตอบของผมที่มีให้กับคนช่างสงสัยเหล่านี้ก็คือ “เหมือนได้ทำบุญ เพราะเราไม่มีเงินไปช่วยเหลือเขา” แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่ทำให้ผมยืดหยัดที่จะทำงานเกี่ยวกับการป้องกันโรคเอดส์ต่อไปก็คือ “ทุกคนมีความเสี่ยงเท่ากัน ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมเท่านั้น” ผมนี่แหละจะเป็นตัวช่วยให้คนในชุมชนได้รับรู้ถึงพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อที่จะได้ลดการเกิดโรคเอดส์ขึ้นในชุมชนของผม
ก้าวไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ผมเชื่อเสมอครับว่าการทำงานทุกอย่างย่อมมีปัญหาอุปสรรคเสมอ ผมเริ่มเห็นแล้วว่าการเป็น อสม.นั้นช่วยให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป ผมได้ประสบการณ์ตรงหลายอย่างจากการเป็น อสม. ผมทำหน้าที่เหมือนป้าลิ้วที่เคยทำกับผม ป้าลิ้วเคยมาชวนผมให้สมัครเป็น อสม.เพื่อช่วยเหลืองานด้านสุขภาพของคนในชุมชน ตอนนี้ผมได้ตอบแทนบุญคุณป้าลิ้วแล้วครับ ผมได้ชวนพี่สาวของผมอีก 2 คน มาเป็น อสม.ด้วยกัน (พี่สาวทั้ง 2 คน อยู่ต่างหมู่บ้านกับผม) “มาใช้เวลาที่ว่างจากงานประกอบอาชีพมาช่วยเหลือคนบ้านเดียวกันกับเรา” ผมบอกพี่สาวของผม
นอกจากผมจะได้ชวนพี่สาวสมัครเป็น อสม.แล้วนะครับ สำหรับงานด้านการป้องกันโรคเอดส์ผมก็ยังทำต่อ ผมทำหน้าที่สานต่อกิจกรรมต่าง ๆ ของสมาคมต่อไป สร้างเครือข่ายกับหน่วยงานภายนอกอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้รับรู้ข่าวสารใหม่ ๆ รูปแบบใหม่ ๆ ในการทำงานเกี่ยวกับโรคเอดส์ โดยมีการขยายกลุ่มของผู้ทำงานด้านเอดส์ไปยังกลุ่มคนอื่น ๆ ด้วย โดยใช้ชื่อว่า ศูนย์องค์รวม 5 เครือข่าย ได้แก่ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร แกนนำเอดส์ และผู้ติดเชื้อ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ สร้างความเข้าใจในการอยู่ร่วมกันของผู้ติดเชื้อเอดส์ และลดอัตราการติดเชื้อเอดส์
นี่คือสิ่งที่ผมภาคภูมิใจที่สุดตลอดชีวิตผมที่ผ่านมา 34 ปี ของผม และก่อนจากกันไป ผมอยากฝากบทกลอนซึ่งผมได้อ่านเจอในหนังสือ แต่ผมจำไม่ได้แล้วครับว่าหนังสืออะไร ผมรู้แต่เพียงว่ามันกินใจผมมาก ผมขอขอบคุณเจ้าของบทกลอนด้วยนะครับ และขออนุญาตเอาบทกลอนของท่านบอกผ่านไปยังคนอื่นด้วยนะครับ
ถ้าจะได้ ทุกอย่าง ดังที่คิด
ชั่วชีวิต จะเอาของ กองที่ไหน
ได้มาบ้าง เสียไปบ้าง ช่างปะไร
เอาอะไร ชีวิตเรา เท่านั้นเอง
**********************
อรชร โวทวี ผู้ถ่ายทอดและบันทึกเรื่องเล่า
ไม่มีความเห็น