หากถามผมว่าประสบการณ์ใดน่าประทับใจที่สุดในการบวช คำตอบที่ไม่ลังเลเลย คือการออกบิณฑบาต
เช้าวันแรกของการบวช พวกเราพระใหม่ต้องตื่นก่อนตีห้าเล็กน้อย เพื่อทำธุระส่วนตัว แล้วรีบมาห่มจีวรแบบคลุม เพราะความที่ยังห่มไม่เก่ง จึงใช้เวลากันพอสมควรกว่าจะเรียบร้อย เสร็จแล้วจึงอุ้มบาตรลงมาจากศาลาที่พระใหม่นอนรวมหมู่กันอยู่ เพื่อมารอรวมกลุ่มออกเดินบิณฑบาตที่ประตูหน้าวัด ผมมองเห็นดาวบางดวงบนท้องฟ้ากระพริบแสงท่ามกลางท้องฟ้าที่ยังมืดสนิท
จำได้ว่าอากาศช่วงนั้นหนาวมาก ผมพยายามยืนนิ่งอดกลั้น หากเป็นฆราวาสคงได้กระโดดหรือสบัดแขนสบัดขากันไปแล้ว แต่พระทำเช่นนั้นไม่ได้ พระบางรูปก็แนะว่าให้หายใจลึกๆ จะช่วยคลายหนาวได้
กำหนดเวลาจะเดินออกจากวัดนั้น พระอาจารย์บอกให้ดูฝ่ามือตัวเองที่ยื่นออกไป ถ้ามองเห็นชัด ก็ออกได้ หรือถ้าเห็นใบไม้ของต้นไม้เป็นสีเขียวแล้ว ไม่ใช่เงาดำๆ ก็ออกได้
พอได้เวลา (น่าจะสักตีห้าสี่สิบห้า) หมู่พระก็ออกเดินบิณฑบาตด้วยเท้าเปล่า แต่ละย่างก้าวที่สัมผัสกับพื้นซีเมนต์นั้น สร้างความรู้สึกแปลกใหม่ที่ยากอธิบาย เพราะทุกสิ่งแม้ฝุ่นทรายเล็กๆ ก็ส่งสัญญาณแจ้งตัวตนความมีอยู่ของมันมาที่ทุกตารางนิ้วบนฝ่าเท้าของเรา หากเป็นก้อนกรวดที่แหลมคม สัญญาณแจ้งนั้นก็เปลี่ยนเป็นความเจ็บแปลบ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ไม่มีหนทางใด นอกจากความอดกลั้น ก้าวเท้าซ้าย แล้วก้าวเท้าขวาตาม
ขณะเดิน ผมก้มสายตามองต่ำตามหลังพระรูปถัดไป เพราะพอทราบมาก่อนว่า เวลาพระเดินบิณฑบาต มิใช่จะมองข้างทางไปเรื่อยเปื่อยเหมือนคนทั่วไป กำหนดนั้นให้มองต่ำเบื้องหน้าไปไม่ไกลกว่า ๔-๕ เมตรโดยประมาณ
เส้นทางบิณฑบาตของพระใหม่ที่วัดพระราม ๙ แบ่งเป็นสี่สาย สายแรกที่ผมเดินในวันแรกนั้น เรียกกันว่า สายวังทอง ซึ่งช่วงแรกจะเดินตามถนนสายเลียบทางด่วนรามอินทรา แล้วข้ามถนนวกลงมาเดินลอดใต้ถนนซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นเพดานเตี้ยๆ บังคับให้ต้องก้มตัวเดินในท่ามกลางความมืดโดยรอบ ความไม่คุ้นเคยกับชุดสบงจีวรที่ห่ม ความกลัวศีรษะกระแทกเพดาน ความกลัวบาตรที่สะพายอยู่จะหล่น (การทำบาตรร่วงพื้นส่งเสียงดังกังวานไปทั่วนั้น นับเป็นความอับอายของพระใหม่มาก) ความกลัวเหล่านี้ประเดประดังเข้ามารบกวนจิตใจ และบังคับให้ผมเดินลอดใต้ถนนด้วยความเชื่องช้าอย่างยิ่ง กว่าจะพ้น พระรูปข้างหน้าก็ทิ้งห่างไปไกลแล้ว
ในความสลัวรางยามรุ่งสาง ผมพบว่าเบื้องหน้าผมขณะนี้คือสะพานปูนแคบๆ กว้างเพียงเมตรเศษๆ สูงอยู่เหนือสองข้างที่ต่ำลงไปหลายเมตรคือคลองดำๆ ความรู้สึกเสียววาบกลัวว่าจะเดินร่วงตกคลองผุดขึ้นทันทีในจิต ผมก้าวเท้าไปช้าๆ ด้วยใจหวั่นๆ พร้อมกับพบว่ามีอุปสรรคอื่นที่คอยทดสอบความอดทนอยู่อีก มันคือรอยแตกแหลมคมบนพื้นปูนที่สร้างความเจ็บแปลบให้กับแต่ละย่างก้าวในบางช่วงบางตอนที่เรามิอาจหลีกเลี่ยง ทั้งด้วยความมืด และความแคบ
แล้วทันใดนั้น ผมก็ต้องสะดุ้งกับ “บางสิ่ง” ที่แตะเข้าที่ใบหน้า จนเกือบจะอุทานด้วยความกลัวว่า “เฮ้ย” เสียแล้ว เมื่อมองให้ชัดๆ ที่แท้ก็คือสายระยางค์เล็กๆ ที่ห้อยลงมาจากต้นโพธิ์ริมน้ำนั่นเอง และความจริงแล้วมันก็อยู่ของมันตรงนั้นนั่นแหละ ผมเองต่างหากที่เป็นฝ่ายเดินก้มหน้าจดจ่อระวังกับพื้นและสองข้างทาง ไม่มองข้างหน้าจนชนมันเข้าโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่ควรจะเห็นได้ตั้งแต่ไกลแล้ว
พระที่นำหน้ายืนรอผมอยู่ตรงสะพานข้ามคลองเข้าสู่หมู่บ้านเล็กๆ เมื่อผมตามทันแล้วก็เดินต่อเข้าไปในหมู่บ้าน ไฟถนนหมู่บ้านเปิดส่องสว่างเป็นช่วงๆ เกือบทุกบ้านยังคงอยู่ในความเงียบและความมืด บ้านที่เปิดไฟแล้วเพียงไม่กี่บ้าน มักเป็นร้านค้าขายของที่ชาวบ้านกำลังตระเตรียมจะเปิดร้าน
เดินไปท่ามกลางถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนสักพัก ผมก็มองเห็นโยมยายคุกเข่านั่งรอตักบาตรอยู่ตรงหัวมุมแยกเข้าซอย คุณยายพนมมือนิมนต์ พระจึงเดินเข้าไปเรียงแถวให้ยายตักบาตร สำหรับผมพระใหม่พยายามสำรวม ก้มหน้ามองแต่ปากบาตร มิได้มองหน้ายายเลย ยายใส่อะไรให้บ้าง ผมก็ไม่ทราบ รู้แต่ว่าเป็นอาหารถุงสองสามอย่าง นี่คือครั้งแรกที่ผมได้รับอาหารจากการบิณฑบาต ความรู้สึกนั้นอธิบายไม่ได้ มันเป็นความตื้นตันลึกๆ ในอก จากนี้ไป ผมมีอาหารฉันดำรงชีวิตอยู่ได้โดยมิต้องกังวลกับการซื้อหา ด้วยศรัทธาของญาติโยมที่มีต่อพระพุทธศาสนา
ผมเป็นใคร ไม่สำคัญ จีวรที่ห่มคลุมร่างนี้อยู่ต่างหาก
พอยายตักบาตรครบพระทุกรูปแล้ว พระที่นำหน้าก็สวดให้พร ซึ่งขณะนั้นผมไม่ทราบว่าคือบทสวดอะไร เมื่อสวดไม่เป็นจึงได้แต่ยืนนิ่ง ในใจนึกเสียใจว่าเราให้พรยายไม่ได้ จึงนึกแผ่เมตตาขอบคุณยายแทน และตั้งใจว่าจะรีบกลับมาหาความรู้ว่าคือบทอะไร และรีบจดจำท่องให้ได้
เดินผ่านกลางหมู่บ้านและเข้าซอยวกกลับมาออกทางสะพานปูนอีกครั้ง มีชาวบ้านตักบาตรเป็นระยะๆ อีกสามบ้าน ทุกครั้งผมได้แต่ยืนแผ่เมตตาเพราะยังสวดให้พรไม่เป็น เมื่อกลับมาบิณฑบาตเส้นทางสายนี้ในวันต่อๆ มา ผมก็พบว่าบ้านที่ตักบาตรนั้นส่วนใหญ่แล้วก็คือบ้านเดิมๆ นั่นเอง จะมีบางวันเท่านั้นที่อาจมีบ้านใหม่ๆ ลุกขึ้นมาตักบาตร อาจเพราะเป็นวันพระ หรือวันเกิดของใครบางคนในบ้าน
ศรัทธาของบ้านที่ตักบาตรเป็นประจำทุกวันนี่เอง (แม้แต่ละสายจะมีอยู่เพียง ๓-๔ บ้าน บางสายเพียง ๑-๒ บ้านเท่านั้น) กำหนดให้ที่วัดต้องจัดพระออกเดินให้ครบทุกสาย มิให้ขาด ด้วยความตระหนักว่าชาวบ้านอุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามืดเพื่อตระเตรียมของบิณฑบาต หากพระไม่ไป ชาวบ้านก็รอเก้อ ส่วนชาวบ้านก็คิดเช่นกันว่าถ้าไม่ตระเตรียมของ เมื่อพระมาเก้อก็เกรงว่าจะบาป ยกเว้นหากชาวบ้านรู้ตัวว่าจะไม่อยู่ ก็จะบอกกับพระให้ทราบล่วงหน้า...นี่มิใช่ความงดงามในยามรุ่งสางหรอกหรือ
ฟ้าแจ้งแล้วเมื่อเดินย้อนกลับตามเส้นทางเดิน ผมพบว่าสะพานปูนไม่ได้แคบอย่างที่คิด รอยแยกบนพื้นเห็นจะแจ้ง หลบเลี่ยงได้ไม่ยาก สายระยางค์ของต้นโพธิ์กลายเป็นความงามริมฝั่งคลอง เพดานลอดใต้ถนนไม่ได้ต่ำจนน่าหวาดหวั่น น้ำหนักและความอุ่นของบาตรที่ใส่อาหารเต็มเกือบล้นบาตรสร้างความอบอุ่นและความมั่นใจให้พระใหม่
ผมเรียนรู้ว่าความกลัว และความมืด ก่อความหวาดหวั่นวิตก
ศรัทธาและความสว่าง สร้างความสงบ
ผมย่างเท้าเปลือยเปล่าด้วยจิตใจที่เบิกบานกลับสู่วัด แม้จะต้องผจญกับกรวดเล็กกรวดน้อยที่คอยทิ่มแทงอยู่เป็นครั้งคราวไป
ได้อ่านตั้งแต่ตอน 1 - 19 เพราะกำลังจะบวชที่วัดพระรามเก้าเดือนมีนาคม 2555 ครับ ได้รับความรู้เพื่อเตรียมตัวบวชได้มากเลยครับ ขอบคุณมากครับและขอโมทนาที่ได้เขียนเรื่องราวอย่างละเอียดในแต่ละตอน
ผมจะบวชที่วัดไตรมิตรเดือนมีนาคมแล้วครับ(จริงๆก็อีก3-4วันเท่านั้นเอง) เลยเข้ามาอ่านเป็นความรู้ครับ
เป็นประโยชน์มากจริงๆครับ รวมถึงเป็นแรงบัลดาลใจในการศึกษาธรรมอย่างจริงจังด้วย ขอบคุณมากครับ:)
ขออนุโมทนาด้วยนะครับ