ร่างกายที่หนาวนั้นแม้นทุกข์ถึงปางตายก็ไม่เท่ากับดวงใจที่ต้องร้าวรานด้วยความเย็น
ความสุข ความสบายนั้นเปรียบเสมือนความทุกข์ที่แฝงตัวเข้ามาในคราบของก้อนน้ำแข็ง
ความทุกข์นั้นเปรียบเสมือนไฟ ใคร ๆ เห็นก็รู้ว่าร้อน จับแล้วก็เจ็บ ก็ทุกข์
แต่ความสุข ความสบายนั้น เปรียบได้ดั่งก้อนน้ำแข็ง ที่ใคร ๆ ต่างชะล่าใจคิดกันไปว่าไม่มีพิษและไม่มีภัย
หากมือข้างซ้ายเราถือก้อนไฟ เราคงจะรีบสะบัดทิ้งไปในกาลนั้น
และหากมือข้างขวาเราถือก้อนน้ำแข็ง เราคงจะหลงถือก้อนน้ำแข็งนั้นไว้เพราะคราแรกนั้นหลงด้วยความเย็น...
ความเย็น ความสบาย ที่มาในคราบแห่งความสุขนั้นเป็น "ทุกข์แท้"
เป็นความทุกข์ที่รอวันที่จะเข้ามาถล่มทลายเรา
หากชีวิตนี้มัวแต่หลงติดสุข ติดสบาย วันหน้าเราคงจะต้องทุกข์ไปจนตาย และต้องตายไปพร้อมกับความทุกข์
ชีวิตที่ใฝ่ร้อน คือ ขวนขวาย กระวีกระวาด กระตือรือร้นในการทำความดี ถึงแม้จะเหนื่อย จะหนัก
ร่างกายนี้ถึงแม้ว่าจะต้องตากแดด ตัวดำ แต่ "ใจไม่ดำ"
ร่างกายนี้ถึงแม้ว่าจะต้องผอมลง ผอมลง แต่ "ใจไม่ผอม"
ใจจะใสสะอาดอยู่ในกรรมดีคือการกระทำที่เสียสละ
การทำดี การเสียสละนั้นจะทำให้จิตใจอ้วนและอิ่มด้วยกุศลกรรม
จิตใจที่อ้วนนั้นจะแผ่ซ่านออกมาเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก
จิตใจที่อิ่มนั้นจะผ่องถ่ายความเอมใจออกมาทางสายตาที่เปี่ยมสุข
ความอิ่มเอมใจนี้เองจึงจัดได้ว่าเป็นความเย็นและความสบายที่แท้จริง
ความอิ่มจากการทำความดี การเสียสละนั้น เป็นการอิ่มจากการให้
การให้นั้นหนาคือการปล่อยก้อนไฟจากมือข้างซ้าย
การให้นั้นหนาคือการวางก้อนน้ำแข็งจากมือข้างขวา
เมื่อปล่อยความสุข และความทุกข์ออกไปจากมือทั้งสองข้างแล้ว ชีวิตจะเบาและสบายขึ้นอีกมาก
ชีวิตนี้จักสุข ชีวิตนี้จักสงบ
การติดสุขทำให้เราต้องดิ้นไปหาความสุข
การกลัวทุกข์ทำให้เราต้องดิ้นแรน หลีกลี้ หนีห่างให้ไกลเสียซึ่งความทุกข์
แต่ถึงแม้นจะหาเท่าไหร่
แต่ถึงแม้จะหนีเท่าไหร่
ก็หาไม่ได้ และหนีไม่พ้น...
ความสุขนั้นหนอ คือ ความอิ่มเอมที่มีขึ้นและเกิดขึ้นเป้นความปีติในหัวใจ
ความทุกข์นั้นหนอ คือ การหยุด การวางกิเลสและตัณหาที่เปรียบเสมือนไฟที่เผารนอยู่ในจิตนั้น
ถ้าใจเราวางก้อนไฟจากความทุกข์ได้ อยู่ที่บ้านนั้นก็สงบ
ถ้าใจเราปล่อยก้อนน้ำแข็งแห่งความสุขได้ อยู่ในสังคมใดก็สงบ
โปรดปล่อยวางความทุกข์และความสุขจากใจนี้ ตลอดทั้งชีวิตจากบัดนี้ "สงบ" จริง...
"พระพุทธองค์ทรงเปรียบบุคคลที่มีอุปนิสัย สติปัญญาแก่กล้า พอฟังธรรมก็สามารถรู้แจ้งในธรรมวิเศษโดยพลัน เหมือนดอกบัวโผล่พ้นเหนือน้ำ พอได้รับแสงแดดก็จบานทันที"
......จะเข้ามาติดตามอ่านบล็อกนะค่ะ......
อนุโมทนา ครับ..เห็นด้วยครับ..ความสุข คือ ทุกข์ละเอียดครับ
เรียนรู้ที่จะอยู่กับความสุข ความทุกข์ด้วยใจที่เป็นกลาง เราจะได้ไม่หลงสุข ติดทุกข์มากเกินไปครับ ขอบคุณครับ
-ขอบพระคุณ ท่าน
ใช่ คงใช่
เคยพยายามหา จุดที่ชีวิตจะสุขถาวร เหนื่อย ชะมัด เพราะหาไม่เจอ เกือบจะครึ่งชีวิตแล้ว
ความสุข เป็นความไม่สงบ ที่คนเรายอมรับ ชอบ และวิ่งหา
พอไม่มีก็คิดว่า มีนี้ นั้นแล้วจะสุข ก็พยายาม
ยิ่งหาความสุข แต่ก็กลับยิ่งไกลเป้าหมายพอใกล้ได้ หรือได้สิ่งที่หาก็ไม่สุขจริงๆเสียที
มันเป็น ความทุกขฺที่เคลือบคาราเมลด้วยครีมแห่งความสุขไว้จริงๆด้วย ภายในเต็มไปด้วยความอยาก เมื่ออยากจะสุข
เมื่อใดมองความสุข ความทุกข์ ว่าเท่ากัน คือล้วนไม่เที่ยงได้ ก็โอเค โอเคจริงๆ
ให้เป็นสุขจริงๆ เอง ที่เกิดโดยการให้แบบท่านสอน คงจะโอเคกว่า
ให้ที่ดีที่สุด ให้อภัย ตัวเอง/ผู้อื่น ให้ความรักความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก
เป็นความจริงที่คาดไม่ถึง...ความสุขเปรียบเหมือนก้อนน้ำแข็ง..
คิดลึกมองลึก..ใช่จริงด้วยค่ะขอบคุณนะคะ