หลังจากที่ได้จัดการความรู้ของตนเอง ร่วมกับกลุ่มและเครือข่ายภูมิปัญญาอีสานด้านเกษตรอินทรีย์มาเป็นเวลาหลายปี ก็ได้พยายามยุให้คนอื่นลองใช้ความรู้ที่ผมได้มาในการทำเกษตรอินทรีย์มาเป็นเวลากว่า ๕ ปี ก็ยังไม่เกิดผลที่เป็นรูปธรรม มีคนเชื่อบ้าง ทำตามบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร เรียกว่าไม่สะใจโก๋ก็ว่าได้
จนเมื่อปีที่แล้วผมลองหายืมที่ดินคนอื่นทำดู ๖ ไร่ ก็ดูเสมือนว่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เตาะแตะเต็มที
มาถึงปีนี้ผมจึงลองลงลุยดูเองในทุกเรื่องให้เห็นดำเห็นแดงกันไปเลย เริ่มตั้งแต่ไปยืมเงินมาซื้อที่ ๔ ไร่กว่า ลองปรับแปลงแต่งที่ดิน ตามองค์ความรู้ระดับบรมครูของอีสานที่จัดการมาตลอด ๓-๔ ปี ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มยโสธร สุรินทร์ บุรีรัมย์ ก่อนทำก็ได้ลองไปแอบถามชาวบ้านแปลงข้างๆ ว่า ทำไมแนวคิดที่ผมกำลังทำอยู่นี้ ไม่มีคนสนใจทำเลย ไม่วาจะเป็นไม่เผา แต่เก็บฟางไว้ในนา ทำนาโดยไม่ไถ ไม่ดำ แต่งรูปแปลงให้เหมาะกับการดูแลดินและน้ำ เพื่อลดต้นทุนการผลิต เน้นการใช้ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก แทนปุ๋ยเคมี
พอคุยไปได้สักพัก ผมก็ถึงบางอ้อ แบบปลาใหญ่ตายน้ำตื้นว่า ที่เขาไม่ทำ ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าเรื่องที่ทำน่ะดีหรือไม่ดี ทุกคนเห็นด้วยว่าดีหมดทุกเรื่อง
แต่ที่เขาไม่ทำ เพราะไม่อยากให้คนอื่นมองตนเองว่า เป็นคนขี้เกียจและโง่ แค่ฟางก็ไม่เผา ไม่ขยันทำงานตามแบบที่คนขยันทำกัน ปล่อยให้นารก ปล่อยให้ฟางคลุมที่ ทำนาแบบมักง่าย ไม่ทำตัวเป้นผู้ขยันขันแข็ง ทำตัวจนโดยการผลิตปุ๋ยใช้เอง ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ยุ่งยากแทนการใช้ปุ๋ยเคมีที่ทันสมัยและสบายกว่ากันเยอะเลย
ผมเลยได้ข้อสรุปง่ายๆ ว่า เกษตรอินทรีย์มันยากตรงที่ว่า มันไม่ทันสมัยตามความคิดของคนส่วนใหญ่นั่นเอง ไม่เท่ห์ ไม่เป็นที่นับถือของคนรอบข้าง แถมยังดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นคนขี้เกียจ มักง่าย อีกต่างหาก
ผมก็เลยถามว่า แล้วชาวบ้านจะไม่มองเป็นคนขี้เกียจ มักง่ายหรือ เกษตรกรรอบข้างที่คุยอยู่ด้วย ตอบผมแบบง่ายๆ ว่า
"ก้อาจารย์เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ไม่มีใครกล้าว่าอาจารย์โง่หรอกครับ แต่อาจารย์อาจเป็นตัวอย่างที่ดี ทำให้วันหนึ่ง จะมีคนกล้าขี้เกียจ กล้าจน กล้าโง่ ตามแบบที่อาจารย์ทำอยู่"
ผมก็เลยถือโอกาสทำตัวเป็นต้นแบบให้คนขี้เกียจ คนจน คนโง่ให้คนอื่นทำเกษตรอินทรีย์ตามที่บรมครูแห่งอีสานสั่งสอนมา
หวังว่าความฝันของจะเป็นจริงภายใน 2-3 ปีข้างหน้านี้นะครับ และผมเพิ่งได้ข้อสรุปวันนี้ ว่า
เกษตรอินทรีย์มันยากตรงที่ขี้เกียจ จน และโง่ไม่เป็นอย่างนี้เองละหนอ