ยังมีคุณความดีอีกหลายๆ อย่างในสังคมที่มันไม่เก๋ ไม่เท่ ดูแล้วไม่หรูหรา ทำแล้วดูต่ำต้อย น้อยค่า ไม่เป็นที่เตะตาคน ผู้คนจึงไม่ค่อยกล้าที่จะทำมัน อย่างการทำบุญเข้าวัด กับการเดินเตร๋อยู่ศูนย์การค้า , การออกมาติวเตอร์กันข้างนอกบ้านแทนการตั้งในเรียนในห้องหรือทบทวนบทเรียนกับพ่อแม่ที่บ้าน , การแต่งกายแพงๆ ทั้งที่ตอนควักกระเป๋าซื้อมาเจ็บตัวแทบตาย, การใช้รถหรูราคาแพง ทั้งๆ ที่เวลาซ่อมก็ซ่อมแพงกว่ารถญี่ปุ่น แบบนี้เป็นต้น เมื่อไหร่ที่สังคมไทยไม่ยึดติดกับสิ่งปรุงแต่งทั้งทางใจและกาย ชาวนาก็อาจจะหันมาสนใจ "เกษตรอินทรีย์" กันมากกว่านี้
d(^_~) ทำอะไรก็ได้ ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ แบบที่อาจารย์ทำอยู่นั่นหละสำคัญ
สู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และโลกที่ไม่ใช่ของมนุษย์เราอย่างเดียว
กราบสวัสดีครับท่านอาจารย์
ขอบคุณที่ตามมาอ่านครับ
อินทรีย์ คำนี้ชาวบ้านที่ทำงาน เขาแปลว่า ร่างกาย ที่แสดงว่าต้องมีทุกอย่างอย่างเป็นธรรมชาติ
แต่ที่เราทำกันส่วนใหญ่
การใช้ปุ๋ยเคมีเหมือนารกินยา กินมากๆจะติด หยุดไม่ได้
การใช้ปุ๋ยเคมี เหมือนการกินวิตามิน บำรุงร่างกายให้แข็งแรง ก็ควรกินตอนที่เราไม่แข็งแรง
ร่างกายที่แข็งแรง ไม่ต้องกินทั้งยา และวิตามิน ใช่ไหมครับ
ทีนี้ชาวบ้านทำไมไม่ทำ
สาเหตุ
จึงอยู่ในสภาพ รู้ค่า แต่ไม่กล้าเสี่ยง
เราจึงต้องหนุนช่วยในเชิง
เราต้องมีพันธมิตรอิงระบบที่ทำงานอย่างเข้าใจชุมชน จึงต้องเป็นคนที่สนใจ KM ธรรมชาติ
นี่เป็นยุทธศาสตร์ของมหาชีวาลัยครับ
คงพอเข้าใจภาพรวมนะครับ
จริงหรอค่ะ เพิ่งทราบสาเหตุที่แท้จริงว่ามันเป็นเพราะอย่างนี้เอง
เรื่องนี้ซับซ้อนครับ
ทั้งทางทรัพยากร เศรษฐกิจ และสังคม
และมีประเด็นปลีกย่อยๆที่ ทำให้เกิดแขนง
ใช่ ไม่ใช ได้หลายจุด ครับ
ทำงานกับชุมชนต้องละเอียดอ่อนและระวังมากๆครับ
คนไม่กล้าทำ "แตกต่าง"
เพราะต้องใช้ความรู้มาก
ถ้าทำตามคนอื่นไม่ต้องรู้อะไรมากก็ได้
เป็น ฉะนี้แล
ทำแตกต่าง ใช้ความรู้มากกว่าทำตามคนอื่นครับ
คนบางคนไม่ค่อยอยากรู้ครับ
บางคนก็กลัวที่จะรู้ เลยไม่ทำครับ