- สวัสดีค่ะ
- นำความรักมาฝากค่ะ
เช้าของวันเสาร์ (๘ มีนาคม ๒๕๕๒)
ผมออกจากที่พักตรงดิ่งไปสู่ห้องประชุม ๒ อาคารบรมราชกุมารี
โดยมีภารกิจอันสำคัญรออยู่เบื้องหน้า
ภารกิจอันสำคัญที่ว่านั้น
คือการเข้าชี้แจง หรือรายงานความคืบหน้าการทำงานต่อคณะกำกับการดำเนินงานจากสภามหาวิทยาลัยซึ่งวันนี้ท่านอำนวยปะติเสผู้รักษาราชการแทนนายกสภามหาวิทยาลัยเดินทางมา “ตามงาน" ด้วยตัวเอง
ประเด็นหลักๆ ของการติดตามการดำเนินงานในครั้งนี้
ประกอบด้วยด้านการเงินพัสดุความเสี่ยงการประกันคุณภาพการพัฒนาบุคลากรวิจัยและทำนถุบำรุงศิลปวัฒนธรรมเทคโนโลยีสารสนเทศการเรียนการสอนเป็นต้น
สำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่ผมต้องชี้แจง หรือรายงานความคืบหน้านั้นถูกจัดไว้ในหมู่ของเรื่อง “การเรียนการสอน"
เป็นธรรมดาครับไม่ว่ายุคสมัยใดก้แล้วแต่เรื่อง “การพัฒนานิสิต"มักเป็นเรื่องเล็กๆในเวทีใหญ่ๆเสมอดังจะเห็นได้จากเกือบทุกๆ เวทีในทำนองเดียวกันนี้เรื่องราวของการพัฒนานิสิตแทบจะไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกพูดกันเสียเท่าไหร่ทั้งที่นิสิตคือประชากรอันสำคัญเป็นผู้ได้-เสียในทุกๆ กรณีของความเป็นมหาวิทยาลัย
ผมเข้าใจดีว่าระบบการเงินการทอง การพัฒนาหลักสูตรให้ติดตลาดการพัฒนาระบบการเรียนการสอนการวิจัยการปลูกสร้างอาคารและเครื่องไม้เครื่องมือที่ “ทันสมัย"ฯลฯ ล้วนเป็นวาระสำคัญอย่างเลี่ยงไม่ได้จนบางทีเมื่อเข้าไปนั่งในเวทีเช่นนั้นผมก็พลอยรู้สึกว่า “ไม่มีตัวตน"และที่ตรงนั้นก็ไม่ใช่ “พื้นที่" ของการ “พัฒนานิสิต" ...
จนอดที่จะเปรยบ่นอย่างเงียบๆ กับตัวเองไม่ได้ว่า “พัฒนานิสิตคือ...องค์กรชายขอบ"และความเป็นชายขอบที่ว่านั้นจะสำคัญก็ต่อเมื่อนิสิตลุกฮือมากระทำการณ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น !จึงจะเห็นได้ชัดว่าด้านนี้ถูกเพ่งมองและผลักเข้ามาแก้ปัญหาทั้งปวงนั้น
-แก้ปัญหาได้ก็เป็นวีรบุรุษ
แก้ปัญหาไม่ได้ก็กลายเป็น “คนไร้ประสิทธิภาพ"พร้อมๆ กับการถูกตีตราว่า “ล้มเหลวกับการพัฒนานิสิต"
เช่นเดียวกับครั้งนี้...
การพัฒนานิสิต
ถูกจัดอยู่ในกลุ่มการเรียนการสอนและกลุ่มนี้ก็จัดลำดับของการนำเสนอไว้สุดท้ายเลยทีเดียวแต่กระนั้นก็ไม่เสียหายเสียเท่าไหร่หากกระบวนการสุดท้ายนั้นมีความเป็น “พัฒนานิสิต"ถูกบรรจุไว้อย่างมี “ตัวตน"แต่ที่ไหนได้การนำเสนอภาพรวมของการเรียนการสอน หรือการพัฒนาหลักสูตรนั้นกลับไม่มีเรื่องการพัฒนานิสิตอยู่ในนั้นเลย
ทันทีที่การนำเสนอยุติลงผมมองไปยังท่านอธิการบดี (ผศ.ดร.ศุภชัยสมัปปิโต)และเห็นชัดว่าท่านได้ส่งสัญญาณให้ผมได้นำเสนอเรื่องราวในสิ่งที่ควรจะต้อง “พูด" ...
ในขณะที่ประธานในที่ประชุมได้แจ้งผ่านไปสู่วาระอื่นๆผมก็รวบรวมความกล้ากดสัญญาณไมค์โคนโฟนขึ้นเพื่อขออนุญาตได้ “พูดในสิ่งที่อยากทำ..และย้ำในสิ่งที่อยากมี"อย่างกว้างๆ และเร่งด่วน ว่า ....
“(๑)...งานพัฒนานิสิต เป็นเหมือนกลุ่มงาน หรือกลุ่มองค์กรชายขอบที่ไม่ค่อยได้รับการหยิบมาเป็นวาระสำคัญของมหาวิทยาลัยทั้งที่ “นิสิต" เป็น “หัวใจ" หลักของการเรียนการสอน เพราะไม่มีนิสิต มหาวิทยาลัยก็อยู่ไม่ได้ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาเราพูดถึงกลยุทธ์หลักสูตรที่เน้นการพัฒนาให้นิสิตเป็นคนที่มีคุณลักษณะอันสำคัญ คือเก่ง-ดี-และมีทักษะของการใช้ชีวิตในสังคมอย่างมีความสุขโดยอาศัยการเรียนรู้ในศาตร์สาขาต่างๆตามหลักสูตรที่ผูกยึดไว้กับ “ห้องเรียน"และ “ตำรา"และมุ่งสู่การขายฝันให้คนหลั่งไหลเข้ามา “ชุบตัว"อย่างล้นหลาม
“(๒)...เราเขียนหลักสูตรบนแนวคิดที่เชื่อว่าการเรียนรู้ในหลักสูตรไม่เพียงพอต่อการบ่มเพาะขัดเกลาให้นิสิตเติบโตอย่างมีคุณค่าและพูดคำหวานแบบลอยๆ ว่ากิจกรรมนิสิต คือ การเติมเต็มกระบวนการที่ว่านั้น ...แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เคยมีการนำเรื่องเหล่านี้เข้าสู่วาระของ “มหาวิทยาลัย" อย่างแท้จริงดังจะเห็นได้จากวิชาการก็สร้างหลักสูตรในมุมนักวิชาการ แต่ไม่เคยนำหลักคิด “วิชาชีวิต-วิชาคน" จากมุมของการพัฒนานิสิตเข้าไปบูรณาการในหลักสูตร
“(๓)...ดังนั้นผมจึงอยากเห็นการเขียนหลักสูตรวิชาศึกษาทั่วไปมุมมองใหม่ เป็นการสอนร่วมกันระหว่างอาจารย์ในคณะและฝ่ายพัฒนานิสิต ทั้งจากกองกิจการนิสิตและฝ่ายพัฒนานิสิตคณะ หรือแม้แต่วิทยากรภายนอกที่อาจเป็นได้ทั้งชาวบ้าน, นักคิด,นักพัฒนาอิสระ ...มีพื้นที่การเรียนรู้จริงให้นิสิตได้ออกไปเรียนรู้ผ่านการจัดกิจกรรมและบรรจุวิชานั้นไว้ใน “ทรานสคริปกิจกรรม" ของนิสิต ซึ่งปัจจุบันกองกิจการนิสิตเป็นผู้กำกับดูแล
“(๔)...เช่นเดียวกันผมก็อยากเปิดสอนหลักสูตรที่เกี่ยวกับ “วิชาชีวิต"เช่นสมรรถนะผู้นำโดยนำแนวคิดต่างๆที่จำเป็นต่อการพัฒนาทักษะการคิดและการทำงานตนเองและสังคมมาบรรจุไว้ในหลักสูตร ซึ่งออกมาในแนว “บัณฑิตอาสา"หรือไม่ก็ “ผู้นำ" โดยตรง และมีกลุ่มผู้เรียนหลักๆ เป็นผู้นำนิสิต หรือผู้ที่อยู่ในแอวดวงกิจกรรมซึ่งวิชาที่ว่านี้ ฝ่ายพัฒนานิสิตจะเป็นผู้สอนเอง และบรรจุวิชาที่ว่านี้ไว้ใน “ทรานสคริปกิจกรรม"
“(๕)...และนั่นยังรวมถึงการผลักดันให้ทรานสคริปกิจกรรมผ่านการรองรับจากสภามหาวิทยาลัย
โดยกำหนดจำนวนกิจกรรมบังคับและกิจกรรมให้เลือกเข้าเรียนรู้
ถ้าไม่ครบก็ไม่จบ"....
ครับ,ผมคิดแบบพื้นๆ
พูด หรือนำเสนอไปตามสไตล์ของตัวเองที่ไม่ใช่ “นักวิชาการ"แต่มีก็ยืนยันว่ามี “วิญญาณของความเป็นครูอาจารย์" อยู่บ้างเหมือนกัน
เพราะวิธีคิดแบบพื้นๆ ตื้นๆ เช่นนี้คือการนำเอาวิชาการกับวิชาคนมาอยู่รวมกัน ภายใต้การบูรณาการให้การเรียนรู้มีสีสัน-มีชีวิต-เรียน-คิด-และปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน
นั่นแหละครับ..
สิ่งที่ผมเปิดเปลือยต่อเวทีวิชาการแบบไม่เป็น
“วิชาการ"แต่งัดเอาอุดมคติเข้าว่า-เอาแววตาเข้าข่ม...
เพื่อให้รู้ว่า องค์กรชายขอบอย่างพวกผม
ใหญ่โตพอที่จะเรียกว่าเป็นเสมือนเมืองอีกเมืองหนึ่งของมหาวิทยาลัยเลยทีเดียวจึงไม่ควรละเลยที่จะให้ความสำคัญอย่างที่เป็นมาอีกต่อไป
และท้ายที่สุด...
ท่านอธิการบดี
ก็ชงเรื่องทั้งหมดนั้นเข้าสู่วาระตรงนั้นอย่างจริงๆ จังๆ โดยขอความเห็นชอบ หรือคำแนะนำจากผู้แทนสภามหาวิทยาลัยเพื่อนำเรื่อง “พัฒนานิสิต"เข้าไปสู่เวทีและวาระของมหาวิทยาลัยอย่างจริงจังเสียที่ซึ่งผมเองก็ได้รับไฟเขียวให้ขับเคลื่อนเรื่องนี้กับสำนักศึกษาทั่วไปเพื่อเร่งหารือเกี่ยวกับการเขียนหลักสูตรในเรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วนด้วยเช่นกัน
ครับ,....
ผมไม่รู้หรอกว่า
เรื่องที่ว่านี้จะออกหัวออกก้อยแต่การที่ได้นำเรื่อง พัฒนานิสิตที่ถูกแบ่งอาณาเขตให้เป็นพื้นที่ “ชายขอบ" แทรกเข้าในเวทีแห่งมหาวิทยาลัยในคราวนี้แบบไม่ให้ตั้งตัว-ก็ถือว่าประสบความสำเร็จยิ่งนักแล้ว
ยิ่งผู้ใหญ่ใจดีเปิดไฟเขียว...
ผมเริ่มมีความหวังว่า
บางทีจากนี้ไป
การพัฒนานิสิต ที่เคยถูกกำหนดให้เป็นองค์กรชายขอบก็อาจจะไม่ตกขอบจากเวทีแห่งความเป็นมหาวิทยาลัยอีกแล้ว..(กระมังครับ)
พัฒนานิสิต เหมือนสมันก่อนกว่า 40ปีมาแล้วจะได้ยินเพลงพัฒนาการ...กิจอันใดเรามีใจร่วมกัน ปรับปรุงพลันนำเจริญในถิ่น......
วิชาการชีวิต ..จิต สัมผัสสรรพสิ่ง รับรู้ ตรึกตรอง พิจารณา โยนิโสมนสิการนำพาชีวิตค่ะ
ขอบคุณค่ะที่อ่านแล้วได้ข้อคิด
เรียน ท่านแผ่นดิน
สวัสดีค่ะ อาจารย์
วิชาชีวิต น่าสนใจมากค่ะ สนับสนุน อีกแรงค่ะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์แผ่นดิน
สวัสดีค่ะ อ. แผ่นดิน
มาเรียนวิชาสอนชีวิตด้วยค่ะ
เรื่องน่าอ่านอย่างนี้
เดี๋ยวมาอ่านแบบละเลียด ค่ะ
สวัสดีครับ... krutoi
วันจันทร์ที่จะถึงนี้...ผมจะนำแผน หรือยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในเรื่องเหล่านี้ไปมอบให้ท่านอธิการได้พิจารณา
ไม่รู้ว่าจะไปได้ดีหรือไม่ แต่ก็ดีใจที่มีโอกาสได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ..ครับ
สวัสดีครับ.. อ.JJ
ขอบคุณท่านอาจารย์ฯ พร้อมทีมงานนะครับ ที่มุ่งมั่นกับการพัฒนานิสิตเรื่อยมา
ยังไงเสีย..เรื่องการหาอัตลักษณ์ของผู้นำนิสิต มมส..ยังเป็นโจทย์ท้าทายสำหรับผมมากๆ ..
ยังสู้ครับ..ยังไม่ท้อ
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ. ♥.paula ที่ปรึกษาตัวน้อย✿
วันก่อนเพิ่งเขียนยุทธศาสตร์เรื่อง "วิชาชีพ" เสร็จ ที่เหลือก็จะเป็นเรื่องการลงรายละเอียดเกี่ยวกับการเขียนหลักสูตร ..
ท้าทายมากครับ...
และผมก็อยากทำให้สำเร็จจริงๆ