เมื่อเครียดจนจะ "อาเจียน..."


นับตั้งแต่ช่วงเวลาเย็นที่ผ่านมา "จิต" ของเราช่างว้าวุ่นเสียนี่กระไร

วุ่นวาย หวาดหวั่น พรั่นพรึง ถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงและสิ่งที่เลยไปแล้ว

คิดนึกเรื่องงานที่ผิดพลาด วิตกกับอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ นานา

พาลโกรธคนที่จะมาบ่น มาว่า ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้ทำอะไรให้เลย แค่เขามองหน้าก็หาว่าเขาจะมาว่าเราแล้ว

ช่วงเย็นจนถึงหัวค่ำวันนี้ ความวุ่นวายได้รุมเร้าเข้ามาสู่จิตสู่ใจจนกลายเป็น "ความเครียด..."

ที่สำคัญวันนี้เครียดแล้วพักไม่ได้ เพราะงานและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบนั้นยังไม่เสร็จ

ความเครียดเก่ายังไม่หาย แล้วยังต้องผสมกับงานใหม่ที่ต้องทำให้ลุล่วง จนทำให้รู้สึก "จะอาเจียน..."

เรานั่งอดทนต่อความรู้สึกผะอืดผะอมเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง คือ ระหว่างสองทุ่มถึงสามทุ่ม

 

แต่อยู่ดี ๆ "หมอโหน่ง" ซึ่งเป็นลูกศิษย์คุณหมอหวล ที่ตอนนี้ได้พาทีมลูกศิษย์มาเรียน มาฝึก มาทบทวนวิชา "แพทย์แผนไทย" ซึ่งเป็นแพทย์ทางเลือกสำหรับคนไทยที่สามารถรักษาโรคได้อย่างอัศจรรย์

 

หมอโหน่งขึ้นมาแล้วนวดหลังให้เรา พอนวดไล่กระดูกสันหลังต่ำลงไปถึงเอว เราก็บอกตรงนี้แหละปวดมาก หมอโหน่งก็เลยบอกว่า เส้นนี้ตึงเพราะเครียดมาก ถ้าเส้นนี้ตึงจะทำให้รู้สึกอยาก "อาเจียน"

วันนี้เป็นโอกาสที่ดีที่มีหมอโหน่งมาช่วยให้คลายจากทุกข์ทางสังขาร ส่วนความทุกข์ทางจิตวิญญาณ คือความโง่ที่เครียดเมื่อเย็นก็จางคลายไป

ชีวิตของเราก็โง่ ๆ แบบนี้แหละเน๊อะ

รู้อยู่นะว่าเครียด รู้อยู่นะว่าโกรธ แต่ก็ยัง "โง่" หาเหตุผลที่เหมาะ ที่สม ที่ควรจะโกรธ เมื่อจะได้โกรธอย่างถูกใจ

"โง่สิ้นดี" ชีวิตเราต้องใช้คำนี้ถึงจะสาสม

แต่นั่นก็เถอะ เจ้าความโง่นี้เราก็ขอเก็บไว้เป็นปุ๋ย เป็นทุน เป็นพลังสอนตัว สอนใจ

เตือนจิต ให้ถึงใจ จำไว้ไม่ให้ "โง่" อีก...

หมายเลขบันทึก: 237055เขียนเมื่อ 24 มกราคม 2009 01:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 มีนาคม 2014 01:09 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีครับ คุณสุญฺญตา

อ่านแล้วก็ชวนให้รำลึกประสบการณ์ของตัวเองครับ เมื่อเดือนที่แล้วครับ

ผมได้โต้เถียงกับหัวหน้าเรื่องงาน
เป็นเวลาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง
จำได้ว่าตอนนั้นอาการทางกาย
ที่ปรากฏก็คือ "หัวใจเต้นรัว"
อาการทางใจก็คือ "สติแตก"
อยากเถียงเอาชนะด้วยคิดว่า
เหตุผลของเราเหนือกว่า

แล้วเหตุการณ์ก็จบลงตรงที่
เราเป็นฝ่ายยอม ด้วยคิดว่า
ไม่มีประโยชน์ที่จะเอาชนะ
(เพราะอย่างไรก็ไม่มีทาง)

 

หลังจากเหตุการณ์จบ อาการทางใจ
ก็หายไป  แต่อาการทางกายสิครับ
มันยังคงทิ้งร่องรอยแห่ง "ความโกรธ"
เอาไว้อีกเป็นวันๆ

คืนนั้น...

ผมนอนหลับตามปกติ
แต่ตื่นขึ้นมากลางดึก
มันปวดแน่นบริเวณหน้าอก
คล้ายๆ เวลาออกกำลังกาย
แล้วกล้ามเนื้อมันขยายตัว

ผมมาอนุมานเอาเองว่า
หรือนี่คือ "ร่องรอยแห่งความโกรธ"
ที่ยังคงทิ้งไว้ ไม่หายไปง่ายๆ


หรือนี่คือ ฤทธิ์ของ "อะดรีนาลิน"
ที่หลั่งออกมาเพื่อให้เราต้องออกแรง
ต่อสู้ เพื่อปกป้อง "อัตตา"
อันเป็นที่รักและหวงแหนยิ่ง
ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่
บรรพบุรุษลิงของผม

ในเช้าวันรุ่งขึ้นผมจึงได้ไป
ออกกำลังกายเบาๆ
หลังจากนั้นก็รู้สึกว่า
ทุกอย่างก็ค่อยๆ ดีขึ้น
จนวันที่สอง ก็เข้าสู่สภาวะปกติ

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากความโกรธในครั้งนี้ก็คือ

โกรธครั้งใด ให้รีบหาทางบรรเทาโดยไว  ไม่เช่นนั้น พึงระวังปฏิกิริยาทาง
ร่างกายไว้ด้วย  เพราะมันจะทิ้งร่องรอย
และสร้างความปั่นป่วนไว้อีกนาน

สำหรับกรณีคุณสุญญตา
ผมเดาว่าน่าจะเครียดสะสม
เป็นเวลานานพอสมควร
อาการทางร่างกายจึงเกิดขึ้น

ซึ่งเมื่อถึงขั้นนี้ก็คงต้องอาศัย

การบำบัดทางกาย เช่น การนวดไทยเข้ามาช่วย

หรืออาจไปออกกำลังกาย เบาๆ
ยืดเส้นยืดสาย เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง
ก็น่าจะช่วยได้ครับ

ฝึกโยคะ เล่นโยคะ ก็ช่วยได้บ้างนะคะ

ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนออกอาการเช่นนี้เหมือนกัน ถึงบางอ้อแล้วสิ นึกว่าตัวเองเป็นโรคอะไรสักอย่าง ที่ไหนได้ เจ้าความเครียดนี้เอง ขอบคดุณ คุณสุญญตา และดุณเมย์

บทความนี้ สะใจจริงๆ

ท่านกล่าวโดนใจ ใช่ เราก็เคยเป็นบ่อย ๆ

เครียด จน เครียดลงท้อง อ้วก

-เหตุการณ์คล้ายๆท่านก็มี ออกบ่อย

-งานเยอะตั้งใจกับงานเกินไปก็เครียดลงท้อง อ้วกเลยพองานเสร็จ เห้อ!

-เครียด ปวดท้อง จน อ้วก เพราะผิดหวัง

-ตอนพ่อป่วยก็ ภายนอกนิ่ง ดูสงบ เหมือนจะผ่านไปได้ ไม่เห็นจิตที่ข่มไว้ พอพ่อปลอดภัยออกจากห้องผ่ามาได้เราโล่งอก แต่เห็นสายโยงยางเยอะแยะ เห็นเลือด พอออกมาห้องน้ำ ก้มตัวล้างหน้าเท่านั้น อ้วกออกมาเฉยเลย

พอผ่านไป เห็นว่าตัวเอง โง่สิ้นดี โง่จริงๆเสียด้วย

ไม่รู้สึกใช้สติ ไม่รู้จักการเจริญสติ วิปัสสนา ภาวนา

แต่คำพุดท่านเป็นครู ใช่ เอาเป็นปุ๋ยเป็นทุนสอนใจตนเอง

ขอบคุณสำหรับ ความรู้ใหม่ในการนวด

และความรู้แลกเปลี่ยนสำหรับเพื่อนทุกคน

ชีวิตของเรานี้ไม่พลาดด้านใดก็ต้องพลาดด้านหนึ่ง

คนจนก็ทุกข์แบบคนจน คนรวยก็ทุกข์แบบคนรวย

คนเก่งก็ทุกข์แบบคนเก่ง คนโง่ก็ทุกข์แบบคนโง่

ป่วยก็ทุกข์อย่างหนึ่ง ไม่ป่วยก็ทุกข์อีกอย่างหนึ่ง

เพราะถ้าหากเราสามารถข้ามสิ่งอันเป็นคู่ดังกล่าวได้แล้ว

เราทั้งหลายก็คงจะไม่มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะเราคงจะถึงฝั่งแห่งพระนิพพานไปนานแล้ว

แต่ที่เราได้เกิดมานี้ก็เพราะว่า เรายังมีข้อบกพร่องด้านใดด้านหนึ่งอยู่

และเจ้าข้อบกพร่องนี้นั่นเอง ที่จักพาเราเกิด แก่ เจ็บ ตายได้อีกนับชาติไม่ถ้วน...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท