ตั้งแต่เป็นสมาชิก G2K บันทึกเรื่องอะไร ๆ ก็เกิดขึ้นครั้งแรก…วันที่ 20 มกราคม 2552 นี้ครบรอบวันที่ “คุณพ่อ” ท่านจากไป เป็นเวลา 11 ปีแล้ว จึงระลึกถึงท่านและขอไว้อาลัยด้วยการเขียนอะไรถึงท่านเพื่อเตือนใจตนเอง
ท่านไม่ได้จากไปอย่างกระทันหัน…ท่านเป็นอัมพาตมานานสามปี… ข้าพเจ้าเห็นทุกขเวทนาและสังเกตดูว่า “อ้อ หน้าตามันเป็นเช่นนี้เอง”…
ข้าพเจ้าเห็นการดูแลยามแก่เฒ่า ยามเจ็บทุกข์ได้ยากของบุพการีทั้งสอง...จนเรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้นเมื่อคุณแม่ต้องจากไปก่อนอย่างไม่มีใครนึกถึง…มันเป็นอุบัติเหตุ…
ข้าพเจ้าไม่ได้บอกคุณพ่อที่นอนเป็นอัมพาต (รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง) ว่า “คุณแม่” จากไปแล้ว…ข้าพเจ้าทบทวนและเตือนสติตนเองเรื่องการ “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป”
คนเราต่อให้รักกันแค่ไหน ยามจากไป ยังต่างคนต่างไป…มิหนำซ้ำยังไม่มีโอกาสได้ร่ำลากัน…
ข้าพเจ้าเข้าใจว่านี่คือ “ทุกข์สามัญ” อันเกิดขึ้นกับ “เพื่อนทุกข์” ทุกท่าน ไม่ช้าก็เร็ว เพราะ “ความตายเป็นสิ่งแน่นอน” แต่ “ชีวิตไม่แน่นอน” จึงมิได้คิดว่าเรากำลังเผชิญทุกข์หนักกว่าใคร ๆ เพียงแต่เตือนสติตัวเองไว้ว่า มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เพราะ “มันเป็นเช่นนั้นเอง” เหมือนสายน้ำตกที่หลั่งไหลลงมา
คุณพ่อค่อย ๆ จากไป…โดยการหยุดหายใจไประยะหนึ่ง ขณะนำส่งโรงพยาบาล แต่คุณหมอก็ปั๊มหัวใจให้ฟื้นขึ้นมาเพื่อให้เรา “ดูแล” ท่านอีกสักระยะ…ข้าพเจ้าเห็นว่า“การอยู่” ของท่าน ช่างทรมานท่านมากเหลือเกิน จึงได้ไปไปทำบุญปล่อยโคกระบือที่วัดแห่งหนึ่ง
อีกสองวันต่อมา ขณะทำงานอยู่ ทางโรงพยาบาลก็โทร มาบอกว่าท่านจากไปแล้ว…การจากไปของท่านทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า “ท่านไปสบายแล้ว” อย่างแน่นอน เพราะสำหรับท่านแล้ว “การไปดีกว่าการอยู่”
ข้าพเจ้าจัดงานโดยไม่มีน้ำตาไหลให้ใครเห็น…จำได้ว่าขณะเตรียมงาน ใจสงบนิ่งมาก คงเพราะผ่านงานศพคุณแม่ได้ไม่นาน…ความทุกข์ใด ๆ ที่ถาโถมมาที่ใจ ก็ใช้ใจนี่แหละปลดปล่อย “มันไป” ด้วยการภาวนากับปัจจุบัน
จำได้ว่า นอนไม่หลับ ตื่นมาตีสอง เพื่อมาเขียนกลอนไว้อาลัย “คุณพ่อ” สำหรับไว้พิมพ์แจกหนังสือธรรมะในวันงานฌาปนกิจ กลอนนั้นยังคงบันทึกเก็บไว้มีข้อความดังนี้ ขอเทอดสักการะ พระคุณพระ ในใจลูก ความรักที่พันผูก ความอาลัย ไม่เสื่อมหาย จะจด จำความงาม ความดีท่าน มิเสื่อมคลาย แม้ชีพลูกวางวาย ระลึกไว้ คุณบิดา ตอนเขียนกลอนนี้ครั้งแรกแหละ ที่ทำให้น้ำตาไหลริน… เพราะทุกตัวอักษรที่บรรจงเรียงร้อยออกมา แม้เป็นคำธรรมดา ๆ แต่มีนัยยะของ “การปฏิบัติ” ที่ท่านมีต่อลูกคนนี้… คำว่า “ขอเทอดสักการะ พระคุณพระ ในใจลูก” ก็ไม่เท่ากับความรู้สึกล้นเหลือที่ประมาณออกมาเป็นตัวอักษรไม่ได้…
แม้กระทั่งคำว่า “ความงาม ความดีท่าน” นั้น ก็เป็นความงดงามของศิลปะในการสร้างมนุษย์ขึ้นมาคนหนึ่งให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เพื่อ “ทำความดี” สร้างพระตอบแทนพระคุณท่านต่อไป
ทุกถ้อยคำที่ข้าพเจ้าใช้ใน Blog ทุก Blog ของตัวเอง ล้วนมีความโยงใยสอดประสานกัน ท่านเป็นครูสอน “Art of Living” ให้ข้าพเจ้า…
สอนให้ข้าพเจ้าเดินทางด้วยเท้าตนเองในระยะทางไกล ๆ … ทานผักที่มีรสขม…ปลูกผักด้วยตนเอง ให้อาหารปลา…และปฏิบัติธรรมในวัยแรกรุ่น…
คนเราเลือกตายคงไม่ได้แน่ แต่เลือกที่จะมีชีวิตอยู่ได้…เพราะเราได้ Art of Living จากคุณครูคนแรกของเราคือคุณพ่อและคุณแม่… และคุณครูคนที่สองของเราก็คือคุณครูที่โรงเรียน…
บันทึกนี้ ไม่ได้เขียนด้วยความเศร้าเคล้าน้ำตา… ไม่ได้เขียนเพื่อให้ใครร้องไห้เสียใจ… แต่เขียนเพื่อ “เจริญมรณสติ” ให้คนมีชีวิตอยู่กับลมหายใจของตนต่อไปด้วยความไม่ประมาท และเขียนเพื่อไว้อาลัยเนื่องในวันครบรอบการจากไปของ “คุณพ่อ”
การสร้างพระให้คุณพ่อคุณแม่นั้นคือการเป็นคนดี… และลูกนี้ก็ให้ชื่อแก่ตัวเองว่า “ศิลา” ซึ่งหมายความว่า “ศีล” และยึดมั่นไว้เป็นหลักพื้นฐานเพื่อการเจริญกรรมฐานทุกลมหายใจเข้าออกของการมีสติรู้ตัว
รู้สึกประทับใจในความรักความผูกพันธ์
ตอนพ่อของ กวินเข้า รพ. ป่วยเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ ตามประสาคนอายุมาก 65 กว่าๆ นึกว่าพ่อจะเป็นอัมพาต เพราะปากเบี้ยวๆ กวินจับมือพ่อ พ่อบอกกับกวินว่า ดูน้องด้วยนะ ถ้ามันจบแล้วให้มันทำงาน (น้องเรียนวิศวะ เครื่องกล แต่เกเร ไม่ค่อยสนใจเเร่องรียน พ่อคงเป็นห่วง ตอนนั้นจึงรู้สึก ความรักของพ่อที่มีต่อลูก (ท่านไม่ห่วงอาการตัวเองแต่ห่วงลูก) ต่อมาหมอ X-ray สมอง และให้ยา ท่านก็หายและเดินได้ (แต่โรคอัมพาตนี้ จากที่กวินสังเกต ปู่ของกวินก็เป็น น่าจะเป็นกรรมพันธุ์ เราแก่ตัวไปก็คงเป็น) ตอนนั้นทำให้เลิกนั่ง สมาธิ ไปเลย เพราะรู้สึกว่า มีบุญมากๆ แล้วเจ้ากรรมนายเวรมาทวง มาทดสอบจิตใจ 555 แต่ ก็คิดว่า การ เจริญสมาธินี้ทำให้เรามีสติดี ตอนนี้กวินก็ สวดมนต์ บ้างก่อนนอน แต่นั่งสมาธิ (แบบสมถกรรมฐาน) นี้ไม่ค่อยได้นั่งแล้ว ใช้ วิปัสนากรรมฐานแทน (พยายามกำหนดรู้ อิริยาบถ) เพราะนั่งสมาธิแล้ว เดี๋ยว เห็นนิมิต แปลกๆ (เราฟุ้งซ่านไปเอง) คิดว่าเป็นเรื่อง ไร้สาระไม่ใช่แก่นสาร ฉะนั้นพยายามเจริญวิปัสนากรรมฐาน ดีกว่า
เราเป็นคนดี ทำดี บุญกุศล นี้ย่อมแผ่ไปถึง พ่อแม่ใน สัมปรายภพ นะครับ :) ในทางกลับกันหากทำ ไม่ดี พ่อแม่ ย่อมรับรู้ได้ ด้วย ทิพยญาณ และท่านคงเสียใจ ขอให้เป็นคนดีของพ่อของแม่ และเป็นคนดีของสังคม อย่างนี้ต่อไปนะครับ สู้ๆ
ขอบพระคุณคุณ kead ค่ะ...ผ่านมาผ่านไป..ทิ้งไว้เพียงปรัชญา...
มี "ศีล" มั่นคงดุจ "ศิลา"
แกร่งดั่ง "ภู" ผา ตระหง่าน
"ชยา" คือ ชัยชนะ แห่งตน
"ผล" แห่งพระคุณพ่อ สร้างมา
ขอบพระคุณคุณ add เฮงแล้วค่ะ คงเพราะคำอวยพรคุณ add นี่เอง ขอให้เฮงกว่านะคะ