การใช้ภาษาไม่ถูกกาลเวลาคือมารยาทที่พึงระวัง
ภาษาไทยเรานั้นมีระดับการใช้แตกต่างไปตามกาลเทศะและบุคคลครับ เมื่อใช้ไม่ถูกก็ย่อมเกิดปัญหาในการเข้าสมาคมกับคนอื่นๆ อาจถูกตำหนิว่าเป็นผู้ไม่รู้จักกาลเทศะบ้าง เป็นผู้ไร้การศึกษาบ้าง ไร้วัฒนธรรมบ้าง สุดแต่กรณี
คนไทยในอดีตเคยได้รับการกล่าวขานว่า เป็นผู้มีมารยาทดี สุภาพอ่อนน้อมมากชาติหนึ่งในโลก แต่ปัจจุบันพบว่า คนไทยไม่ค่อยจะน่ารักสักเท่าไหร่ ดูภาพออกจะนิยมใช้ความรุนแรงไปทุกขณะ เช่นกลุ่มคนบางกลุ่มที่มาชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล บรรดาแกนนำขึ้นเวทีพูดโจมตีบุคคลอื่น ด้วยภาษาและท่าทางที่หยาบคาย รุนแรง ฟังไม่ได้ ทำให้คนไทยดูกักขฬะ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เด็กและเยาวชน
เรื่องการใช้ภาษาไทยที่ไม่ถูกกาลเวลาหรือโอกาสก็เช่นกัน พบว่ามีปัญหาไม่ใช่น้อยครับ บางทีตัวเราเองก็เผลอไผลทำสิ่งเหล่านี้ไปก็มีครับ เช่น
๑. พูดคุยเรื่องสนุกสนานในงานศพ
๒. พูดคุยเสียงดังในขณะอยู่ในห้องประชุมสัมมนา
๓. พูดโทรศัพท์มือถือในขณะชมภาพยนตร์ หรือในขณะขับรถ
๔. พูดซ้ำเติมขณะที่เขาต้องการคำปลอบโยน
๕. พูดตำหนิเขาในขณะที่เขาสำนึกผิดแล้ว
๖. พูดจาถากถาง เสียดสีเมื่อเขาประสบผลสำเร็จและควร
ชื่นชม
๗. พูดแทรกขณะที่คนอื่นกำลังพูดคุยกันอยู่
๘. พูดขอร้องให้เขาทำธุระให้ทันทีในขณะที่เขากำลังยุ่งอยู่กับงาน
๙. เมื่อวิทยากรเปิดโอกาสให้ซักถาม แต่กลับนิ่งเฉย ไม่ถาม ทั้งๆ ที่สงสัย
๑๐. ยกมือถามวิทยากรทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาให้ซักถาม
ตัวอย่างเหล่านี้แม้จะดูเป็นเรื่องปกติที่คนธรรมดาอย่างเราก็เคยทำและบางครั้งผลเสียหายอาจไม่ร้ายแรงอะไรมากนัก แต่บางครั้งก็เกิดลุกลามเสียหายใหญ่โตได้ และถ้าทำจนชินเป็นนิสัยก็ไม่ค่อยดีนักในสังคมไทยที่ต้องการความเป็นระเบียบ ความมีมารยาท อันเป็นคุณสมบัติที่ดีของคนไทย ที่คนชาติอื่นเขายกย่องว่า “คนไทยเป็นคนที่มีมารยาทงาม” ชาติหนึ่งในโลก เรามาช่วยชาติกันหน่อยดีไหมครับท่าน
ขอบคุณครับสำหรับองค์ความรู้ดี ๆ ทางวาทวิทยา มรรยาทเหล่านี้ปัจจุบันคนละเลยไปเสียแล้วน่าเศร้าใจแทนบรรพชนจังเลย
อาจารย์สบายดีไหม หนูคิดถึงอาจารย์ คิดถีงเชียงใหม่O(∩_∩)O~
ขอบคุณคุณพิมล มองจันทร์
ครับสำหรับการเยี่ยมชม
อาจารย์สบายดีครับ นันทิดา ถ้าคิดถึงเชียงใหม่ก็กลับมาเยี่ยมอาจารย์สิครับ