บทความชุดต่อไปนี้ผู้เขียนได้แปลมาจากบทความชื่อ Profit participation in the motion picture industry เขียนโดย Joe Sisto ในวารสาร Entertainment and Sports Lawyer, Volume 21, Number 2, Summer 2003: น.1 และน. 21-28 ซึ่งผู้เขียนค้นพบจาก http://www.abanet.org/forums/entsports/esl/back_ issues/summer 2003.pdf ซึ่งสืบค้นมาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมปี 2550 อันเป็นช่วงเวลาที่ผู้เขียนยังค้นคว้าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับภาพยนตร์ และใช้เนื้อหาเพื่อประกอบการทำวิทยานิพนธ์
ณ ตอนนี้ถึงแม้ว่าผู้เขียนได้เสร็จสิ้นภารกิจการทำวิทยานิพนธ์ดังกล่าวไปได้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเก็บห้อง (อันอุดมไปด้วยหนังสือ) ก็ทำให้ค้นพบงานแปลที่ตัวเองได้แปลเอาไว้ จึงเกิดความคิดว่า ไม่อยากให้การแปลบทความชิ้นดังกล่าวเป็นเพียงการแปลแค่เก็บเกี่ยวเอาความรู้ไว้ใช้คนเดียวหรือกลายเป็นเศษกระดาษที่ความรู้ไม่ได้เผยแพร่ต่อไปที่ไหนอีก คิดเพียงแต่ว่าไหนๆ ก็แปลแล้วก็ควรเอามาเผยแพร่ เพื่อที่ว่าใครที่สนใจในเรื่องเกี่ยวกับการแบ่งสรรปันส่วนผลประโยชน์กันในแวดวงหนังจะได้รับรู้ว่า เขาแบ่งปันกันอย่างไร เพราะเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เขียนพบว่า ไม่ค่อยมีผู้แปลเรียบเรียงเป็นหนังสือกันสักเท่าไหร่ แต่มักเน้นไปที่เรื่องของการใช้เครื่องมือผลิตภาพยนตร์ ขั้นตอนการผลิตภาพยนตร์ ฯลฯ แทน
ในขณะที่เรื่องของธุรกิจภาพยนตร์กลับไม่ค่อยมีตำรับตำราสักเท่าไหร่
สิ่งที่ผู้เขียนแปลมานี้ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเท่านั้น
เพราะบทความต้นฉบับเองก็ได้รับการเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์เช่นกัน
และผู้เขียนก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์
เพียงแต่นึกถึงนักศึกษาหรือผู้สนใจทั่วไป
ที่บางครั้งอาจสนใจแต่ก็ไม่สามารถอ่านบทความภาษาอังกฤษได้เอง
ผู้เขียนเองก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษนัก เพียงแต่ยึดหลักที่ว่า มีแต่
"ฝึก" กับ "หัดทำ" ไปเรื่อยๆ สักวันจะดีขึ้น และจากจุดนั้นที่เริ่มฝึก
ทำให้เกิดเป็นบทความแปลชิ้นนี้
หมายเหตุ :
1.
เนื่องจากบทความนี้ผู้เขียนต้นฉบับเป็นนักกฎหมายในประเทศสหรัฐอเมริกา
ธรรมเนียมและการปฏิบัติในแวดวงหนังจึงหมายถึง วงการหนังฮอลลีวู้ด
เป็นส่วนใหญ่ ส่วนการแบ่งสรรปันส่วนของแวดวงหนังไทยนั้น
ผู้เขียนจะได้ทยอยเผยแพร่งานในโอกาสต่อไป
2.
เอกสารการแปลส่วนนี้ผู้เขียนนำกลับมาแก้ไขและเรียบเรียงใหม่ในเดือนธันวาคม
2551
3. ผู้เขียนยินดีเป็นอย่างยิ่ง หากมีผู้รู้ท่านอื่นๆ
เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจของภาพยนตร์ทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศได้กรุณาเข้ามาเพิ่มเติมข้อมูลหรือให้ความคิดเห็นอื่นใด
ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา
ที่จะได้มีแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชุดความรู้ในเรื่องของธุรกิจภาพยนตร์
Profit participation in
the motion picture industry
เขียนโดย Joe Sisto
ในโลกของภาพยนตร์
เมื่อโปรดิวเซอร์สามารถหาบริษัทที่รับจัดจำหน่ายภาพยนตร์ให้กับสตูดิโอหลักๆ
(Major Studio) ได้แล้ว
โปรดิวเซอร์มักจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์โดยหักจากกำไรของภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ
ซึ่งเรียกกันว่า "ค่าธรรมเนียมโปรดิวเซอร์ หรือ Producer's Fee"
ในขณะที่ส่วนการทำงานอื่นๆ ก็จะได้รับค่าตอบ แทนในลักษณะของ
"เงินเดือน" แทน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการต่อรองและข้อตกลงกับบริษัทผู้ว่าจ้าง
ที่เป็นเจ้าของหนังหรือผู้ลงทุนสร้าง
โดยธรรมเนียมปฎิบัติของวงการภาพยนตร์ ทั้งค่าธรรมเนียมโปรดิวเซอร์
(ที่มักเรียกกันติดปากว่า "ค่านายหน้า หรือ Fee for Producers")
และเงินเดือนที่ทั้งนักแสดงและผู้ที่เกี่ยวข้องในตำแหน่งงานอื่นๆ
ได้รับนั้น เมื่อเทียบกับผู้ที่อยู่ในระดับผู้บริหาร
จะพบว่ากลุ่มคนทำงานในระดับสูงนี้กลับมีอิทธิพลทางธุรกิจในการที่จะต่อรองและเรียกร้องผลประโยชน์ได้มากกว่ากลุ่มคนทำงานในสองกลุ่มแรกมากนัก
ซึ่งส่วนใหญ่กำไรที่ได้รับตอบแทนกลับมาจากภาพยนตร์ก็มักขึ้นอยู่กับการฉายภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ
ในโรงภาพยนตร์เป็นหลัก
ในขณะที่ "ค่านายหน้า" หรือ "เงินเดือน"
ที่นักแสดงหรือผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับ มักเป็นรายได้แบบตายตัว
แต่ผู้บริหารระดับสูงกลับมีอิทธิพลทางธุรกิจมากพอที่จะต่อรองและเรียกร้องหาผลประโยชน์เพิ่มเติม
เพราะโดยส่วนใหญ่กำไรที่ได้รับมักขึ้นอยู่กับการฉายภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์เป็นหลัก
บทความนี้จึงเน้นกล่าวถึง ประเภทของกำไรและผู้ที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงวิธีการคำนวณกำไรว่าเขาคิดแบ่งปันกันอย่างไร
ประวัติศาสตร์ของระบบค่ายหนัง
ภายหลังจากที่ภาพยนตร์สามารถใส่เสียงลงไปในฟิล์มและทำให้หนังกลายเป็นหนังเสียงในฟิล์มขึ้นมาได้
เหล่าดารานักแสดงและโปรดิวเซอร์รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างหนังต่างก็ตกอยู่ภายใต้การเซ็นสัญญาในลักษณะสังกัดค่ายสตูดิโอใหญ่ๆ
กันทั้งนั้น โดยเฉพาะการตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขความเป็น "คนของสตูดิโอ"
หรือเรียกกันว่า "ระบบดารา(Star System)"
โดยที่สตูดิโอจะเป็นผู้กำหนดอัตราค่าจ้างในลักษณะแบบตายตัว
ซึ่งนิยมจ่ายเป็นรายอาทิตย์ (fixed weekly salary)
ส่วนเงินพิเศษบางที่อาจจะเขียนสัญญาในลักษณะให้เป็นเงินโบนัส
แต่ผลกำไรจากหนังส่วนใหญ่มักถูกผูกขาดโดยเจ้าของสตูดิโอเป็นหลัก
มีตัวอย่างดาราเพียงไม่กี่คนที่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับผลกำไรตรงนั้นได้
เช่น ชาลี แชปลิน และ เบทที เดวิส (Chalie Chaplin & Vette Davis)
ซึ่งหลังจากที่พวกเขาประสบความสำเร็จในการแสดงและเริ่มมีบริษัทของตัวเอง
พวกเขาก็เริ่มที่จะแบ่งปันกำไรไปให้กับผู้สร้างสรรค์งานคนอื่นๆ ด้วย
และนั่นก็หมายถึงความเสี่ยงไม่ใช่น้อย
ต่อมาในปี 1936 นักแสดงตลกชื่อ Groucho Marx
เริ่มที่จะแบ่งปันส่วนแบ่งจากภาพยนตร์มากกว่าที่เงินเดือน
โดยขอมีส่วนร่วมเพิ่ม 15% จากผลกำไรที่สตูดิโอได้รับ
ซึ่งถือว่าเป็นการต่อรองที่สูงมาก
แต่นั่นก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียกร้องการแบ่งเปอร์เซ็นต์เพิ่มเติมของเหล่าดาราทั้งหลาย
ล่วงมาในปี 1950 เมื่อเกิดมีโทรทัศน์ขึ้น
ผู้ผลิตภาพยนตร์เริ่มมีคู่แข่งที่น่ากลัว ซึ่งก็คือโทรทัศน์
ด้วยเหตุที่ว่าโทรทัศน์นั้นสามารถเข้าถึงผู้ชมได้อย่างรวดเร็วและสะดวกกว่ามาก
ผลจากการที่มีโทรทัศน์ทำให้การผลิตภาพยนตร์โดยสตูดิโอใหญ่ๆ
เริ่มมีจำนวนลดลง
ในขณะเดียวกันสตูดิโอแบบอิสระก็เกิดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ด
ซึ่งดารานักแสดงเหล่านี้มักถูกว่าจ้างกันเป็นเรื่องๆ (Film by Film)
จึงทำให้เกิดช่องว่างในระบบดารามากขึ้น (คือระบบเงินเดือนที่ถูก fix
เอาไว้จะนำมาใช้ไม่ได้อีก เพราะมีสตูดิโออื่นๆ แข่งขันกันให้ราคา
และดารารับงานแบบอิสระได้มากขึ้น)
ซึ่งทำให้ดาราเริ่มมีอำนาจในการต่อรองมากขึ้น
แต่ทางสตูดิโอก็มักจะหักกลบลบหนี้ค่าใช้จ่ายต่างๆ
กับจำนวนเงินที่ได้รับจนกระทั่งเหลือกำไรที่จะแบ่งปันน้อยลง
(เพราะหักค่าใช้จ่าย ค่านู้นนี่นั่น) แต่สตูดิโอก็ใช้มุขนี้ได้ไม่นาน
...ในทุกวันนี้
ดารานักแสดงจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มจากการที่ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้เป็นผลมาจากการต่อรอง
ซึ่งดาราแต่ละคนมักต่อรองในการแบ่งผลประโยชน์แบบ
"แบ่งผลกำไรก่อนหักค่าใช้จ่าย" กับทางสตูดิโอ
และการต่อรองเช่นนี้ทำให้เกิดการตกแต่งจุดคุ้มทุน (Breakeven)
เพื่อให้มันมีความเกินจริงก่อนปันผลกำไรขึ้นมาแทน
การแบ่งกำไรในแบบที่ควรจะเป็น วิธีคิดแบ่งปันผลกำไรมีองค์ประกอบคือ
1. แบ่งปันจากรายได้สุทธิที่ได้รับ
(net) หรือ แบ่งจากผลกำไรเบื้องต้น(ที่จะได้รับ) หรือ gross receipts
จากการจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ
2. แบ่งตามกำหนดที่ได้มีการประมาณการณ์เอาไว้ล่วงหน้า (เช่น
ถึงจุดนี้แล้วจะแบ่งเท่านี้) หรือเรียกวิธีนี้ว่า "กำไรรอตัดบัญชี
(Deferment)"
คือกำไรที่จะรวบรวมให้ได้เป็นก้อนใหญ่แล้วจึงค่อยปันผลกำไรในแต่ละขั้นเปอร์เซนต์ตามตกลง
กำไรที่ได้รับมีอะไรบ้าง
1.
เงินส่วนแบ่งที่ได้รับจากโรงภาพยนตร์ (Theatrical gross recipts -
Money earned from exhibitors) :
ส่วนใหญ่แล้วผู้จัดจำหน่ายจะมีส่วนแบ่งจากโรงภาพยนตร์ประมาณ 50
เปอร์เซนต์จากรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศ
ดังนั้นกำไรที่ได้รับจะเป็นเงินของผู้จัดจำหน่ายซึ่งจะได้จากโรงภาพยนตร์
แต่จะไม่ใช่จำนวนเงินที่ได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศ (คือ
ต้องหารกันไม่ได้ยอดบ็อกซ์ออฟฟิศ) เพราะเมื่อภาพยนตร์ทำเงินได้ 100
ล้านเหรียญสหรัฐจากการฉายภายในประเทศ
ผู้ที่จะได้รับเงินนี้คือโรงภาพยนตร์ไม่ใช่สตูดิโอผู้สร้างหนัง
ผู้จัดจำหน่ายและโรงภาพยนตร์จะมีข้อตกลงกันในลักษณะรายได้จาก
"ค่าเช่าโรง (Film rental income)"
ซึ่งพวกเขาจะรายงานจำนวนเงินนี้อย่างตรงไปตรงมา
แรงจูงใจที่ทำให้แสดงจำนวนเงินที่ได้รับอย่างตรงไปตรงมานี้
เกิดจากความสัมพันธ์ทางธุรกิจในลักษณะที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน
จึงค่อนข้างให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
2. การขายขาด (Outright License /
Outright Sale) :
สัญญาการอนุญาตให้ขายซึ่งออกให้กับผู้จัดจำหน่ายรายย่อย
ใช้ในกรณีที่ภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ ขายได้ในเขตที่จะมีกำไรน้อย
(less-profitable territories)
โดยจะเป็นการขายในลักษณะราคาเดียวหรือการขายขาด (Flat Fee)
ซึ่งผู้จัดจำหน่ายรายย่อยจะจ่ายแบ่งปันกำไรกับโรงภาพยนตร์ในแต่ละพื้นที่ของตัวเอง
ซึ่งรายได้จากการขายขาดนี้ผู้จัดจำหน่ายจะเป็นผู้ได้รับหากว่าในสัญญาระบุว่าให้รวมรายได้นี้เป็นกำไรที่ได้รับจากภาพยนตร์
(included in the film's gross receipts)
3.
รายรับจากการขายสิทธิเผยแพร่ให้กับโทรทัศน์ วีซีดี และสื่ออื่น ๆ
ที่ไม่ใช่โรงภาพยนตร์ (Television, home video and nontheatrical
licenses) : กำไรสามารถมาได้จากหลายทางโดยเฉพาะสื่ออื่นๆ
ที่นอกเหนือไปจากโรงภาพยนตร์ เช่น
การขายสิทธิให้กับโทรทัศน์(และสถานีในเครือหรือรายการในเครือสถานีโทรทัศน์นั้นๆ
) / การขายสิทธิให้กับเคเบิ้ลทีวี / โฮมวีดีโอ (ประเภทวีซีดี ดีวีดี)
และสื่ออื่น ๆ เช่น สายการบิน / เรือสำราญ และกองทัพ
(ส่วนสันทนาการและส่วนโรงเรียนของกองทัพ) ฯลฯ
กำไรตรงนี้บางทีอาจได้มากกว่ากำไรที่ฉายในโรงภาพยนตร์เสียอีก
ในบางครั้งผู้จัดจำหน่ายก็นำภาพยนตร์หลายๆ
เรื่องนำมารวมเข้าด้วยกันและจัดขายเป็นชุด (Package)
ให้กับสถานีโทรทัศน์หรือเคเบิ้ลทีวีหรือรายการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง
รายได้ตรงนี้สามารถนำมารวมเข้ากับรายได้จากหนังแต่ละเรื่องและถือเป็นการเพิ่มยอด
box-office ให้กับหนังแต่ละเรื่องด้วย
(หนังเรื่องไหนที่ขายไม่ค่อยดีก็จะได้มีตัวเลขขึ้นมาบ้าง)
ตลาดโฮมวีดีโอเป็นอีกตลาดที่เจ้าของหนัง (สตูดิโอ)
ไม่นิยมจะลงมาทำตลาดเอง
แต่จะขายให้กับผู้จัดจำหน่ายวีดีโอเป็นผู้จัดการโดยคิดค่าใช้สิทธิแบบอัตราเดียว
(flat royalty) คือ 20 เปอร์เซ็นต์จากการขายโฮมวีดีโอ
(ทั้งขายและให้เช่า) ซึ่งมีทั้ง VHS และ DVD
ซึ่งผู้จัดจำหน่ายก็มักจะแสดงรายงานยอดเพียง 20%
ที่สตูดิโอจะได้รับ
อย่างไรก็ตามในการตกลงเรื่องส่วนแบ่ง 20% ของการขาย VHS /DVD
ในราคาขายส่งนั้น มักมีปัญหาเรื่องส่วนแบ่งที่จะได้รับ เช่น
ผู้จัดจำหน่ายสามารถขายแผ่นได้ 250,000 แผ่น แผ่นละ 50 เหรียญสหรัฐ
จะเท่ากับ 12,500,000 เหรียญ และส่วนแบ่งที่กำหนดไว้คือ 20% จากยอดขาย
(12,500,000 X 20% = 2,500,000 US) ซึ่งก็เท่ากับ 2,500,000
เหรียญที่สตูดิโอเจ้าของหนังควรจะได้รับ
แต่ในความเป็นจริงผู้จัดจำหน่ายมักจะแสดงตัวเลขเพียงแค่ 2,500,000
เหรียญ และค่อยคิด 20% จาก 2,500,000 เหรียญนั้นซึ่งก็จะเท่ากับ
500,000 เหรียญเท่านั้น เป็นการคิด 20% จาก 20% ของยอดจำหน่ายจริง
เท่ากับว่าสตูดิโอจะได้แบ่งปันกำไรเพียงแค่ 4% จากยอดที่ขายได้จริงๆ
เท่านั้น (12,500,000 X 4% = 500,000)
ดังนั้นในการเซ็นสัญญาซื้อขายสิทธิตรงนี้ควรระบุในสัญญาให้ชัดเจนว่า
"แบ่ง 20% จากยอดรวมทั้งหมดที่จำหน่ายจริงจากยอดการผลิต (20 percent
of total sales generated)"
4. สิทธิในการทำเป็นสินค้าอื่นๆ
(Merchandising licenses) :
สตูดิโอส่วนใหญ่มักจะขายสิทธิเพื่อการผลิตสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับภาพยนตร์
เช่น โปสเตอร์ / เสื้อยืด / แก้วกาแฟ / พวงกุญแจและของเล่น
หรือเจ้าของสิทธิอาจจะให้บริษัทที่สาม (Third-party licensing)
เป็นผู้ดูแลสิทธิทางด้านนี้แทนก็ได้ โดยสิทธิทางด้านนี้จะคิด 40%
จากการขายสินค้าได้ก่อนที่ภาพยนตร์จะออกฉาย
เจ้าของสตูดิโอมักจะให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการผลิตสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับภาพยนตร์มาเป็นตัวชูโรง
(Campaigns) ให้ภาพยนตร์เรื่องนั้น ๆ มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น
การใช้สินค้าแบบนี้เป็นการตลาดแบบ Cross-promotion
คือการส่งเสริมการขายแบบข้ามชนิด เช่น
การนำตราโลโก้หรือคาแรคเตอร์ตัวแสดงในภาพยนตร์มาผลิตเป็นแก้วน้ำที่ขายหน้าโรงหนัง
หรือพวงกุญแจ ฯลฯ อาจพูดได้ว่าการทำการตลาดในลักษณะนี้มีแมคโดนัลด์
เป็นต้นคิดในกลยุทธ์นี้
เช่นที่แมคโดนัลด์จัดทำของเล่นจากดิสนีย์ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและขายผ่านทางแฮปปี้มีลให้เด็กๆ
จนจัดเป็นการขายของเล่นที่ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนี้
ถ้าหากว่าการผลิตสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับภาพยนตร์ (merchandise)
สตูดิโอใช้บริษัทในเครือเป็นผู้ผลิต ยอดการขายจะเท่ากับ 100%
และเมื่อหักลบกับค่าใช้จ่ายต่างๆ (เช่นค่าบริหารงาน)
อาจจะต้องหักลบไปถึง 50%
ในขณะที่หากจ้างบริษัทอิสระที่รับจ้างทำสินค้าเหล่านี้อยู่แล้ว
พวกเขาก็จะรายงานยอดขาย 100% ของรายรับ และหักลบค่าบริหารงาน
(ค่าธรรมเนียมการจ้างผลิต) อีกนิดหน่อยประมาณ 20% เท่านั้น
ทั้งสองวิธีจึงเป็นเรื่องที่สตูดิโอควรจะคิดหักกลบลบหนี้ให้ดีก่อนว่าควรจะเลือกปฏิบัติแบบใด
เมื่อวิธีการแตกต่าง ค่าใช้จ่ายก็แตกต่างเช่นกัน
5. ลิขสิทธิ์เพลงและการผลิตซีดี
(Musical rights licenses and compact disc sales) :
สตูดิโอจะต้องแน่ใจว่าสิทธิที่ตนมีด้านเพลงจะครอบคลุมไปถึงการอนุญาตให้ผู้อื่นผลิตและจัดจำหน่ายได้ด้วย
(third-party licensee)
ซึ่งถ้าหากว่าสตูดิโอเป็นผู้ติดต่อประสานงานเองกับต้นสังกัดที่ผลิตเพลง
อาจจะมีการแบ่งปันผลประโยชน์กันคนละ 50% ซึ่งอาจจะต้องลบค่าบริหาร
(Administration fee) ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 15-20%
ซึ่งต้องจ่ายให้ทั้งผู้เขียนคำร้องและทำนอง
มีการประมาณการกันว่ารายได้กว่า 50% จะได้มาจากการขาย Compact Disc
(CD) ที่เป็นซาวด์แทร็คเพลงภาพยนตร์
ซึ่งรายงานการขายซีดีดังกล่าวจะเป็นกำไรที่สตูดิโอจะได้รับแต่จะถูกหักลบไปประมาณ
20-30% เป็นค่าทำเป็นอัลบั๊ม (Packaging fee)
แต่ถ้าหากจ้างบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ(Third-party)
จะเสียค่าดำเนินงานเพียงแค่ 10-20%
กับค่าดำเนินงานและค่าลิขสิทธิ์
6.
เงินได้จากการขายสิทธิให้ผู้ได้รับอนุญาตรายย่อย :
ผู้ได้รับอนุญาตรายย่อยจะต้องจ่ายค่าซื้อสิทธิไปผลิตสินค้าหรือสิทธิเผยแพร่จัดจำหน่ายให้กับผู้จัดจำหน่าย(Distributor)หลัก
ซึ่งรายได้ส่วนนี้จะต้องรวมอยู่ในกำไรที่ได้รับ
7.
เครดิตสำหรับการจ่ายเงินไปต่างประเทศ (Credit for blocked
funds) :
การโอนเงินในบางประเทศมีกฎที่เข้มงวดเกี่ยวกับการโยกย้ายเงินทุนไปที่อื่นๆ
บางครั้งผู้จัดจำหน่ายอาจจะต้องทำเป็นเครดิตสำหรับสั่งจ่ายภายหลังจากที่ทางผู้มีสิทธิรับเงินปลายทางจะดำเนินการขออนุญาตภายในประเทศเสร็จ
(ซึ่งเป็นเรื่องของการโอนเงินระหว่างประเทศ)
การมีส่วนร่วมกับกำไรที่ได้รับ (Participation in
gross receipts)
1.
กำไรตั้งแต่บาทแรก (First-dollar participation) :
ในระบบแบบนี้จะหมายถึงกำไรจากภาพยนตร์ทั้งหมดที่ได้รับจากทุกแหล่ง
ก่อนที่ผู้จัดจำหน่ายจะมีการหักค่าใช้จ่ายจิปาถะเข้ามา
วิธีนี้ค่อนข้างจะคุ้มค่าและกรณีนี้นักแสดงก็ค่อนข้างจะเข้ามามีเอี่ยวค่อนข้างยาก
ยกเว้นในรายที่มี power หรือมีชื่อเสียงโด่งดังมากๆ
และรายได้ของภาพยนตร์ก็ทำรายได้ได้ดีชนิดติดบ็อกซ์ออฟฟิศ
2.
จุดคุ้มทุนที่ถูกปรับให้เหมาะสมกับกำไร (Break-even participation in
adjusted gross) :
จุดคุ้มทุนเป็นจุดที่แสดงให้เห็นภาวะที่ไม่ขาดทุนและไม่มีกำไร
(ภาวะเสมอตัว) กำไรตัวแรกของสตูดิโอ (Initial break-even)
จะอ้างอิงได้จากกำไรที่ได้จากภาพยนตร์
และผู้จัดจำหน่ายมักจะมีการปรับรายรับให้เป็นกำไรที่เหมาะสม (Adjust
gross receipt)
เพื่อเป็นตัวชี้นำได้ว่ากำไรที่สตูดิโอควรจะได้รับเป็นตัวแรกคือจุดใด
โดยมากข้อจำกัดของยอดกำไรมักจะถูกหักกลบลบหนี้ด้วยค่าใช้จ่าย
จึงเกิดการต่อรองในลักษณะ "Cost of the Top" หรือ
"ค่าใช้จ่ายอยู่เหนือสุด" ซึ่งมักจะมีการรวมในเรื่องของภาษี /
ค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง (Trade Dues)
หรือค่าใช้จ่ายด้านการประชาสัมพันธ์ การโฆษณา
การต่อรองแบบนี้จะหมายถึงว่าให้โชว์ค่าใช้จ่ายพวกนี้ที่เหนือสุดตารางก่อนที่จะต้องแบ่งกำไรนั้นไปสู่ส่วนต่างๆ
การเจรจาในลักษณะนี้ก็เพราะสตูดิโอหรือผู้มีส่วนร่วมในผลกำไรไม่อยากรอการปันผล
จึงยังไม่ให้ผู้จัดจำหน่ายรวมยอดค่าใช้จ่ายต่างๆ
เข้าไปก่อนที่จะปันผลกำไร หรือเรียกอีกอย่างว่า "ราคาขาดตัวที่เหมาะสม
(Nice Net)"
อย่างไรก็ตามวิธีนี้ค่อนข้างหายากและเสมือนวิธีที่ข้อมูลด้านตัวเลขยังไม่สมบูรณ์
100%
3. แบ่งก่อนที่จะถึงจุดที่ทำกำไร
(Pre-break gross participation) :
ในระบบแบบนี้คือหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้เจ้าของสตูดิโอได้รับการแบ่งปันกำไรที่ได้จากตัวภาพยนตร์หลังจากที่รู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ
มีรายได้เข้ามา
ซึ่งวิธีนี้สตูดิโอจะให้ผู้จัดจำหน่ายหักลบค่าบริการในการจัดจำหน่าย
(Distribution fee) หลังจากที่เกิดกำไรตรงนี้ขึ้น
ถึงแม้ว่ากำไรจากตรงนี้อาจจะเล็กน้อย (อาจเพียงแค่ 15-25%)
ในทางบัญชีก็ตาม
4. จุดคุ้มทุนจริงๆ (Initial (or
actual) break-even gross participation) :
จุดต่างสำหรับวิธีการนี้กับวิธีการที่เคยกล่าวถึงข้างต้น (ในข้อ 2)
อยู่ตรงที่ว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ผู้จัดจำหน่ายจะเป็นผู้พิจารณาว่าระหว่างจุดคุ้มทุนจริงๆ
ตรงนี้เมื่อหักลบค่าใช้จ่ายต่างๆ (ซึ่งมักมีประมาณ 30-40%)แล้ว
ผู้จัดจำหน่ายจะยังได้ค่าตอบแทนการขายจากกำไรตัวนี้อยู่หรือไม่
5. การลดจุดคุ้มทุนให้ต่ำลงมา (Rolling
(or moving) break-even gross participation) : ในระบบแบบนี้
คือ
การที่ผลกำไรจะถูกตัดยอดนับตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องนั้นทำเงินได้ถึงจุดคุ้มทุน
อย่างไรก็ตามวิธีนี้ผู้จัดจำหน่ายอาจจะทำการตัดยอดหรือลดยอดจุดคุ้มทุนตัวนี้ลงมา
หากว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่มเข้ามาช้ากว่าที่กำหนดเอาไว้ (incurs at a
later date) เช่น ค่าบริการต่างๆ (plus a fee)
ผู้จัดจำหน่ายก็จะทำการลดยอดจุดคุ้มทุนลงมาเพื่อใส่ค่าใช้จ่ายเข้าไปในส่วนนั้นแทน
6. วิธีการทำกำไรให้เพิ่มขึ้น (The
method call "grossing up") :
เป็นวิธีที่ผู้จัดจำหน่ายจะคิดกำไรที่ต้องการเอาไว้
ตัวเลขกำไรที่ได้จากวิธีนี้จะเป็นตัวเลขที่ถูกหักลบไปจากตัวเลขที่เป็นจริง
โดยจะหักลบผ่านค่าใช้จ่ายที่ตกแต่งขึ้นมาเช่น ค่าบริการจัดจำหน่าย
(distribution fee / charges a fee)
ด้วยเหตุนี้จุดคุ้มทุนจึงต้องลดลงมา
ซึ่งสตูดิโอก็จะฉงนสนเท่ห์กับยอดเหล่านี้มาก
ตัวเลขของจุดคุ้มทุนตัวนี้เรียกอีกอย่างว่า "ส่วนเกินเพื่อความปลอดภัย
(Margin of Safety)"
ซึ่งส่วนเกินเพื่อความปลอดภัยนี้จะเป็นตัวชี้วัดว่า
ยอดขายปัจจุบันจะลดลงไปได้เป็นจำนวนเท่าใดก่อนที่จะเกิดผลขาดทุนจากการดำเนินงาน
(มีต่อตอนที่ 2)
สวัสดีค่ะอ.ขจิต
แนทสบายดีค่ะ ปีใหม่นี้อาจารย์มีโปรแกรมไปพักผ่อนที่ไหนหรือเปล่าคะ
แนทเห็นด้วยนะคะกับคำพูดที่อ.ขจิตบอกว่า
"ที่ไหนมีการแปล ที่นั่นย่อมมีการแปลผิด"
ทั้งนี้ต้องขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ด้วยนะคะ
(ข้าน้อยขอคารวะหนึ่งจอก ^_^ อิอิ)
สวัสดีค่ะคุณหนุ่มกร-natadee
สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าเช่นกันค่ะ :)