เพื่อนๆครับ...
ผมอดไม่ได้ที่จะนำบทความนี้มาแชร์ให้อ่านอีกครั้งหนึ่ง
ยังย้ำจุดยืนที่บอกมาตลอดว่า ผมไม่ใช่เสื้อแดง และไม่ใช่เสื้อเหลือง...
สิ่งที่นำเสนอมาโดยตลอดคือ การยืนหยัดไม่เห็นด้วยกับการให้ประเทศอยู่ในน้ำมือโจร
ไม่ว่าจะเป็นโจรที่เป็นลูกหมอประสาทสีเขียว หรือ โจรลูกประธานรัดถะสะพา หรือแม้แต่โจรหน้าเหลี่ยม...
ประเทศแต่ละประเทศควรหันมาทบทวนตนเองได้แล้วมั้งว่า ระบอบประชาธิปไตย ระบอบสังคมนิยม และระบอบสังคมนิยมประชาธิปไตย แต่ละอันมีลักษณะดีร้ายอย่างไรบ้าง...
ปัจจัยพื้นฐานของประชากรในประเทศเป็นเช่นไร...ทั้งในด้านระดับความรู้/การศึกษา อุปนิสัยใจคอ ฯลฯ
อะไรเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดสภาวการณ์ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน?
และการคงระบบต่างๆ ไว้ดั่งในปัจจุบันนั้น มีอะไรบ้างที่เป็นตัวทำให้เกิดการคงอยู่ของช่องว่างหรือความแตกต่างระหว่างชั้นวรรณะ และรายได้???
สองปัจจัยหลังนั้น ใช่ปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาหรือไม่???........โปรดตรองดู............
วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551 เวลา 20:00:44 น. มติชนออนไลน์
ดูจากฟากพรรคประชาธิปัตย์ก่อน ถ้าไม่มีอะไรพลิกผัน มีโอกาสสูงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคจะได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีในการลงมติของสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 15 ธันวาคม หรือประเทศไทยตกอยู่ในระบอบ"โจราธิปไตย"?
โจราธิปไตย...โดยประสงค์ วิสุทธิ์
คำถามคือ ทำไมบรรดา ส.ส.ในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย ต้องรับฟัง พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งมีฐานะป็นอาชญากรหนีคดีอาญาแผ่นดินเช่นเดียวกับนายวัฒนา? ทำไม ต้องให้ความสำคัญกับ"การโฟนอิน"ว่า จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในทางการเมือง
เห็นสถานการณ์การเมืองที่มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์เพื่อช่วงชิงจัดตั้งรัฐบาลแล้ว นึกถึงคำว่า"โจราธิปไตย ซึ่งเป็นศัพท์ที่ไมเคิล ไรท ฝรั่งหัวใจไทยนิยมใช้เป็นประจำขึ้นมาทันที
การช่วงชิงอำนาจการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นเรื่องปกติ ถ้าช่องทางในการได้อำนาจนั้นมาเป็นไปอย่างถูกต้องชอบธรรม (รวมทั้งถูกต้องตามกฎหมายด้วย) จากความเห็นชอบจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้น่าจะเกิดขึ้นจากสิ่งที่ไม่ชอบธรรม ไม่เป็นไปตามกฎหมายหรืออาจเรียกได้ว่า เป็นอำนาจเถื่อน
ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าแกนนำพรรคประชาธิปัตย์จะเจรจากับตัวแทนพรรคการเมืองขนาดเล็กที่เคยอยู่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนเดิมให้พลิกขั้วมาอีกด้านหนึ่ง
แต่จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค ไปเจรจาต่อรอง(ผลประโยชน์?)กับใครบ้าง ไล่ตั้งแต่นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรค นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ผู้สนับสนุนพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา นายพินิจ จารุสมบัติ นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี หัวหน้าก๊กในพรรคเพื่อแผ่นดิน นายสมศักดิ์-นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่ม ส.ส.ชฌิมาธิปไตย(นายสมศักดิ์ พูดเต็มปากว่า เป็นพรรคของเรา) นายเนวิน ชิดชอบ หัวเรือใหญ่กลุ่มเพื่อนเนวินที่อ้างว่ามี ส.ส.สังกัดกว่า 30 คน
โดยเฉพาะรายหลังนี้ถึงกับกอดกันกลมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แบบไม่อายฟ้าอายดิน
ถามว่า บุคคลที่เอ่ยชื่อมาทั้งหมดถูกศาลรัฐธรรมนูญและคณะตุลาการรัฐธรรมนูญเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้ง ไม่สามารถดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองและไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมือง
เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและคำตัดสินก็บ่งบอกชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้บุคคลเหล่านี้ที่ถูกกล่าวหาว่า กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายอันเป็นการได้อำนาจการปกครองมาโดยมิใช่วิถีทางตามรัฐธรรมนูญมายุ่งเกี่ยวกับการปกครองประเทศโดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาล
พรรคประชาธิปัตย์เองก็เคยประกาศว่า เคารพการตัดสินขององค์กรทั้งสอง และแสดงท่าจะเป็นจะตายเมื่อมีการจัดตั้งพรรคพลังประชาชนขึ้นมาแทนพรรคไทยรักไทยโดยกล่าวหาว่า เป็นพรรค"นอมินี" ของ พ.ต.ท.ทักษิณและ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย
แต่คราวนี้พรรคประชาธิปัตย์กลับยอมลดตัวไปเกลือกลั้วกับบุคคลที่ถูกตัดสินว่า บุคคลเหล่านี้เพื่อช่วงชิง ส.ส.มาไว้ในมือให้มากที่สุด
นี่ยังไม่นับ"กลุ่มสีเขียว" ที่ทั้งถีบ ทั้งดัน ทั้งกระทืบ พร้อมกับข้ออ้างถึง"บุคคล" ที่ไม่อาจปฏิเสธได้อย่างออกหน้าออกตา
ขณะเดียวกันยังมีข่าวว่า นายสุเทพโทรศัพท์ไปเจรจากับนายวัฒนา อัศวเหม อดีตที่ปรึกษาพรรคเพื่อแผ่นดินเพื่อให้ยอมพลิกกลับมาร่วมกับประชาธิปัตย์
ถ้าเป็นเรื่องจริง คำถามคือ นายวัฒนา เป็นอาชญากรหนีคดีอาญาแผ่นดินมิใช่หรือ ทำไมในการจัดตั้งรัฐบาลต้องไปเจรจากับอาชญากรด้วย?
ด้านพรรคเพื่อไทยก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน เริ่มตั้งแต่การจัดตั้งพรรคก็มาจากกลุ่มคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายยงยุทธ ติยะไพรัช นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล นายสมชาย-นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ที่มีสภานภาพเดียวกับกลุ่มบุคคลที่เจรจากับพรรคประชาธิปัตย์
หัวหน้าพรรคก็เป็นเพียง"นอมินี" ของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทน พ.ต.ท.ทักษิณอีกต่อหนึ่ง
แม้แต่การพยายามดึงตัวกลุ่มพรรคเล็กและ ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวินกลับมาพรรคเพื่อไทยก็ต้องอาศัย พ.ต.ท.ทักษิณโทรศัพท์ไล่บี้เป็นรายบุคคล
คำถามคือ ทำไมบรรดา ส.ส.ในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย ต้องรับฟัง พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งมีฐานะป็นอาชญากรหนีคดีอาญาแผ่นดินเช่นเดียวกับนายวัฒนา?
ทำไม ต้องให้ความสำคัญกับ"การโฟนอิน" ของ พ.ต.ท.ทักษิณในวันที่ 13 ธันวาคมว่า จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในทางการเมือง
ในการ"โฟนอิน" ของ พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน มีการพูดโกหกมดเท็จเรื่องหลายประเทศเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณไปเป็นที่ปรึกษา ทั้งๆ ที่เป็นการ"กุข่าว" ลวงโลก
จึงไม่รู้ว่า ในการ"โฟนอิน" ครั้งใหม่นี้จะมีการปั้นเรื่องอะไรขึ้นมาหลอกลวงอีก?
การให้ไความสำคัญใดๆ กับการ"โฟนอิน" ในงาน"ทรูธทูเดย์ truth today" หรือบางคนอาจเรียกว่า"เท็จทูเดย์"
เท่ากับให้ความสำคัญกับระบอบ"โจราธิปไตย"
อาจารย์ของกวินเขียนคำพูดของ อริสโตเติลติดไว้ที่ข้างๆโต๊ะทำงานว่า
"ความดีของมนุษย์ สิ้นสุดเมื่อเล่นการเมือง"
คงจะหมายถึงว่าคนดีๆ ก็ถูกป้ายสีให้ดูเลวร้ายไปได้ หรือคนที่ดีๆ เมื่อตกอยู่ในวังวนของระบบการเมืองที่ชั่วร้ายก็อาจจะพลอยชั่วร้ายไปด้วย
อีกสำนวนหนึ่งที่ได้ยินบ่อยๆ ในวิชารัฐศาสตร์ก็คือ
"ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร"
คงจะหมายถึง ในยามที่มีผลผระโยชน์เกื้อกูล แม้ศัตรูก็อาจจะโอนอ่อนมาเป็นมิตร (เพราะหวังผลประโยชน์)
และแม้เป็นมิตร แม้ไม่มีผลประโยชน์เกื้อกูลกัน หรือขัดผลประโยชน์กัน มิตรภาพนั้น ก็อาจจะกลายเป็นศัตรู ไปเสียก็ได้
เมื่อใดก็ตามที่นักการเมืองคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์แห่งตน หรือคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์เพื่อพวกพ้อง ก็นับได้ว่าไม่มีความเลวใดที่นักการเมืองจะทำไม่ได้
สังคมไทยเป็นสังคมที่ให้อภัย ดูอย่าง จอมพลถนอม หรือ พลเอกสุจินดา ที่เคยมีคนเคยออกมาเดินขบวนขับไประท้วง พอถึงบั้นปลายชีวิต พวกเขาก็กลับมายังแผ่นดินไทยได้ จริงๆ การให้อภัย+ลืมง่าย (โกรธง่ายหาเร็ว) นี้ เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ของสังคมไทยในคราวเดียวกัน
นักการเมืองไม่เกรงกลัว กฎหมาย มีเพียง กฎแห่งกรรม เท่านั้นที่นักการเมือง พอที่จะยำเกรงอยู่บ้าง ภาวนา+ให้อภัย นักการเมืองที่เคยทำผิดมาก่อน คงไม่มีใครเคยทำผิด ขอให้เริ่มต้นทำในสิ่งที่ดีๆ และเกรงกลัว อำนาจกรรม ให้เยอะๆ สังคมก็คงสงบสุขกว่านี้นะครับ :)