7 เมษายน 2549 วันนี้เป็นอีกหนึ่งวัน ที่ผมเบี้ยวการเข้าร่วมกิจกรรมอบรมอาสาสมัครสิทธิเด็กที่โรงเรียนในท้องถิ่นจัดขึ้น
เป็นโปรเจ็คที่ค่อนข้างใหญ่ ผู้อำนวยการโรงเรียนบอกกับผมว่า
ถ้าผ่านการอบรมนี้จะมีเงินดงเงินเดือนในฐานะอาสาสมัครกะเค้าด้วย
ดูเผินๆ ก็น่าสนใจนะครับครู อย่างน้อย
ก็อาจจะประคับประคองกรรมกรข้อมูลอาชีพอิสระอย่างผมได้
อีกอย่างการได้เข้าไปช่วยงานกับโรงเรียน
ก็น่าจะกระชับความสัมพันธ์และปูทางไปสู่ความร่วมมือต่างๆได้
หากแต่พอย่างก้าวเข้าไปในงาน ไปเจอท่านผู้จัดและบรรยากาศในงาน
ทำให้ผมตั้งคำถามในใจลึกๆ จนต้องถอยออกมา
โดยหลักการที่จะให้สถานศึกษาเป็นผู้จัดการสนับสนุนสิทธิเด็กนั้น
เป็นเจตนาที่ดีครับ แต่ประทานโทษ.....ลดอัตตาลงสักนิดลงเถอะครับคุณครู
ลำพังโรงเรียน หรือเครือข่ายโรงเรียน เรามีศักยภาพแค่ไหน
ในการดำเนินการเรื่องนี้?
ระบบการศึกษาสมัยใหม่ เชื่อกันอย่างงมงายว่า
ถ้าคุณผ่านการอบรมอะไรสักอย่างที่ได้ "มาตรฐาน”
(ซึ่งกำหนดโดยใครก็ไม่รู้ที่เราสืบโคตรเหง้าไม่ได้)
คุณก็จะมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ คุณจะได้ใบประกาศ
ได้รางวัลทางสังคมต่างๆ ในฐานะที่คุณไม่ต้องคำถามกับสิ่งเหล่านี้
เป็นผักปลาที่ดีอยู่ในระเบียบสังคมที่เขาวางไว้
ปัญหาของวิธีคิดเรื่องสิทธิเด็กที่ครอบงำครูและนักพัฒนา
เช่นเดียวกับประเด็นต่างๆ ก็คือ ถูกครอบโดยระบบการศึกษาสมัยใหม่
ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญ ผู้รู้เรื่องสิทธิเด็ก จึงจำเป็นต้องมาจาก สำนัก
(School) ต่างๆ มาจากการฝึกอบรม ซึ่งก็ไม่ผิด
แต่สิ่งที่ถูกบิดเบือนก็คือ ยังมีระบบสิทธิเด็กในชุมชนประเพณี
ยังมีผู้รู้ในชุมชน ที่เป็น “นักสิทธิเด็ก” อยู่ใช่ไหม?
แล้วท่านผู้รู้ชุมชนเหล่านั้น
ถูกมองข้ามไปได้อย่างไร?
ผมคิดว่า
โรงเรียนและครูเองต้องมองให้ทะลุความมืดบอดเหล่านี้
มิใช่จัดการอบรม ก็มีแต่ครู ข้าราชการ
(อาจจะมีนักพัฒนาเอกชนเข้ามาบ้าง) โดยขาดการมีส่วนร่วมของและชุมชน
(โดยมองความรู้เรื่องสิทธิชุมชนและสิทธิเด็กอย่างลุ่มลึก
ไม่ด่วนตัดสินว่าถูกหรือผิด)
มิพักต้องพูดถึงการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชน
รวมถึงครอบครัวของพวกเขา (อย่างกระตือรือล้น สร้างสรรค์
และมีชีวิตชีวา) มิใช่มาอบรมเพราะถูกโน้มน้าวแกมบังคับ
เพราะอำนาจครูข่มพวกเขาอยู่
หลักสิทธิเด็กที่สำคัญข้อหนึ่ง ก็คือ การจัดพื้นที่
เวทีให้พวกเขาแสดงความเห็นออกมาโดยไม่ถูกครอบงำ สิ่งที่ผมสงสัยก็คือ
ในที่ประชุมซึ่งมีครู ผู้บริหาร
วิทยากรผู้ทรงภูมิล้อมรอบเหมือนคอกรอบด้านเช่นนี้
เยาวชนจะเปล่งเสียงจากหัวใจอย่างอิสระได้อย่างไร
แล้วใคร? ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง จากการจัดกิจกรรมเช่นนี้
จนเด็กต้องมาแอบซุบซิบตั้งคำถามกันว่า
“นี่มันสิทธิของหนู หรือของใครกันแน่ (วะ)”
การไว้ผม
กระเป๋านักเรียน
เคยมีคำถามจากข้อมูลข้างต้น
ว่าทำไม ต้องใส้ชุดนักเรียน
ว่าทำไม ต้องไว้ผมได้เท่านี้
ว่าทำไม ต้องใช้กระเป๋าแบบนี้
มันไม่ได้ช่วยให้เรียนเก่งขึ้นเลย
สิ้นเปลืองค่าชุด ค่าใช้จ่าย
แต่เพื่อความเป็นระเบียบที่ผู้ใหญ่กำหนดขึ้นมา จะได้ควบคุมได้ และเมื่อเด็กโตขึ้นกลายเป็นผู้ใหญ่ ก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่ถูกควบคุมได้ อีกเช่นกัน..
คือ.. คนที่มีอำนาจ ไม่อยากสูญเสียอำนาจไป อยากปกครองคนต่อไป ควบคุมคนต่อไป..