ต่อจากนั้นมา ระยะเวลาว่างเปล่าไปอีกราว 200 ปีเศษ ตามบริเวณหน้าถ้ำคงมีแต่ป่าพงชัฏและต้นไม้สูงใหญ่ใบหนา ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสิงห์สาราสัตว์ทุกชนิด ต่อมาในราวปีพ.ศ. 2430 จึงมีผู้มาพบถ้ำหลวงเชียงดาวอีกท่านผู้นั้นมีนามว่า "พญาพิบาล" นามเดิมคือ อินต๊ะ เป็นฆราวาสชาวไตเหนือ ท่านผู้นี้ได้โยกย้ายครอบครัวมาถางป่าทำไร่และตั้งบ้านเรือนอยู่หน้าถ้ำหลวง ต่อมาครอบครัวอื่นๆก็โยกย้ายตามมากลายเป็นบ้านใหม่เรียกว่า "บ้านถ้ำ" พญาพิบาลได้สั่งสอนอบรมลูกน้องชาวบ้านถ้ำทุกคนให้ตั้งอยู่ในศีลห้า ศีลแปด และได้พาชาวบ้านตรวจดูสภาพถ้ำหลวงเห็นว่าทางเข้าถ้ำต้องเข้าตามรูที่อยู่ข้างบนที่เรียกว่า "ปล่องแจ้ง" จึงช่วยกันถางเนินดินที่ริมหน้าถ้ำและเจาะรูทางเข้าแล้วสร้างบันไดนาคขึ้นสู่ปากถ้ำ ให้ช่างปั้นรูปเทวดาที่ริมสองข้างทางอย่างสวยงาม นอกจากนี้ยังสร้างพระพุทธรูปไว้ในถ้ำอีกมากมาย ช่างปั้นเป็นชาวพม่ามีนามว่า "หม่องส่ง" หลังจากนั้นได้สร้างวัดและวิหารไว้ที่หน้าถ้ำจนถึงปี พ.ศ. 2453 พญาพิบาลก็ได้ถึงแก่มรณกรรม
ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 มีฤาษีรูปหนึ่งเป็นชาวมาจากเมืองลายค่ารัฐฉาน มีนามว่า "ฤาษีอูคันธะ" เป็นผู้มีความรู้แตกฉานในทางสมถะและวิปัสสนาได้ชักชวนบรรดาพุทธมามะกะทั้งใกล้และไกลมาสร้างถาวรวัตถุไว้ในถ้ำและนอกถ้ำอีกมากมาย สร้างเจดีย์องค์ใหย่ที่ปากถ้ำ จำลองมาจากพระเจดีย์แรงกุนในพม่า สร้างพระพุทธรูปบนเนินผา 4 องค์ สร้างพระนอน โดยช่างฝีมือที่ชื่อ "หม่องอัด" แล้วสร้างโบสถ์ศาลา พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ศาลาริมน้ำเรียกว่า "พระทันใจ" คือสร้างเสร็จโดยเร็วทันอกทันใจนั่นเองออกแบบโดยหม่องส่ง นอกจากนี้ยังได้สร้างสระน้ำ สวนอุทยานดอกไม้กว้าง 1 ไร่เศษ ฤาษีอูคันธะอยู่ที่ถ้ำหลวงเชียงดาวได้ 12 ปี แล้วจึงลาญาติโยมชาวบ้านถ้ำไปอยู่กับพวกไตที่อำเภอปายจังหวัดแม่ฮ่องสอน แล้วย้ายไปอยู่เมืองปั่นรัฐฉานและมรณภาพในเวลาต่อมา
ครั้นต่อมาในปีพ.ศ. 2477 ครูบาศรีวิชัย วัดบ้านปางจังหวัดลำพูน พร้อมด้วยขุนอุปการประชาชนนายอำเภอเชียงดาวและทายกทายิกาทั้งหลายได้สละทรัพย์สร้างวิหาร พระพุทธรูปขนาดใหญ่ กุฏิสำหรับภิกษุสามเณรพักจำพรรษา ปีพ.ศ. 2481 นายพวง สุขสามัคคีนายอำเภอเชียงดาวกับนายโสภณ ณ เชียงใหม่ ได้สละทรัพย์สร้างศาลเทพารักษ์ และสร้างกุฏิอีกหนึ่งหลัง แล้วช่วยกันจัดงานฉลองครั้งใหญ่เรียกว่า "ปอยหลวง" จนถึงปีพ.ศ. 2492 หลวงพ่อทองคำได้มาเป็นเจ้าอาวาส ท่านเป็นผู้มีน้ำใจศรัทธาเลื่อมใสชอบทำบุญทำมานมาก ชอบก่อสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณะประโยชน์อย่างไม่อั้น อย่างที่เรียกว่า "เมื่อคิดจะสร้างไม่กลัวเงินผลาญ เมื่อคิดจะทานไม่กลัวเงินหมด" ท่านจึงได้ปรับปรุงบริเวณลานหน้าวัด สร้างสะพานใหม่ สร้างฝายกั้นน้ำ บันไดคอนกรีต และสิ่งอื่นๆอีกมากมาย
อย่างไรก็ตามถ้ำหลวงเชียงดาว อาจมีสิ่งธรรมชาติอันสวยงาม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในภาคเหนือ หากแต่เบื้องหลังประวัติความเป็นมาที่พวกเรารับทราบนั้น เป็นสถานที่ลึกลับไม่มีใครทราบเส้นทางเข้าไปว่าลึกมากแค่ไหน จนเกิดตำนาน "เจ้าหลวงคำแดงตามกวาง" หรือ ตำนานสุวรรณคำแดงตามกวาง ซึ่งชาวไตเรียกว่า "เจ้าหน่อคำแหลง" ตำนานนางจำปูของชาวไต ซึ่งเกี่ยวข้องกับเจ้าซูลาย ผีบรรพบุรุษของชาวล้านนา ซึ่งถือเป็นวิญญาณบรรพบุรุษที่ปกปักรักษาเมืองแม่ฮ่องสอน ควบคู่กับเจ้าข้อมือเหล็ก ที่สิงสถิตย์อยู่ ณ ศาลเจ้าเมืองทุกแห่งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน พอถึงเวลาเลี้ยงเมืองในเดือนเจ็ดของทุกปี วิญญาณในร่างทรงก็จะบอกกล่าวอยู่เสมอว่า ท่านพำนักอยู่ที่ถ้ำหลวงเชียงดาว แม้บางคนอาจจะยังไม่เคยพบเห็นถ้ำหลวงเชียงดาวมาก่อน แต่จะรู้จักในฐานะที่เป็นที่พำนักของ "เจ้าเมือง" ที่ชาวไตเคารพนับถือนั่นเอง
ความศักดิ์สิทธิ์ของถ้ำหลวงเชียงดาว ยังมีเรื่องเล่าถึงความแปลกประหลาดและเหลือเชื่ออีกมากมาย ตัวอย่างเช่น ตำนานพระพุทธรูปหินอ่อนที่ฤาษีอูคันธะได้นำมาจากเมืองมัณดะเล ซึ่งประดิษฐานไว้ที่ถ้ำเสือดาว มีคนมักได้มักง่ายได้นำเอาพระพุทธรูปหินอ่อนไป ก็ดูเหมือนจะมีอันเป็นไปไม่รอดตายสักคน สุดท้ายก็ต้องนำมาคืนโดยนายทองทศ อินทรทัตผู้ครอบครองคนสุดท้าย นอกจากนี้ยังมีประวัติคนหายเข้าไปในถ้ำอีกสองคน ที่มีชื่อเหมือนกันคือลุงเสด คนหนึ่งหายไปเลย อีกคนหนึ่งหายไปได้สามเดือน แล้วกลับมาเล่าเรื่องการไปรับใช้เทพเจ้าให้ลูกหลานฟัง ซึ่งชาวบ้านทั้งหลายต่างก็เชื่อว่า เทพเจ้าได้นำเอามนุษย์ไปเป็นผู้รับใช้ หนังสืออีเก้งเข้ากรุงกล่าวว่า ดอยหลวงเชียงดาวเป็นดอยที่สำคัญ ซึ่งเต็มไปด้วยเทพเจ้าเฝ้ารักษา และเทพเจ้าเหล่านี้ล้วนมาจากพม่า อินเดีย ชานสเตต และอินโดจีน และเมื่อปีพ.ศ. 2491 นายอุยอด ชาวบ้านป่าม่วนในเชียงตุงได้เล่าว่า เจ้าหลวงคำแดงไปเข้าสิงคนในเชียงตุงว่า "เทพาอารักษ์ตามศาลต่างๆทั่วไป ได้มาประชุมกันที่ดอยหลวงเชียงดาวทั้งหมด" สอดคล้องกับความเชื่อของชาวไตในจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่เชื่อว่า เจ้าเมืองที่สิงสถิตย์ ณ ศาลเจ้าเมือง มาจากถ้ำหลวงเชียงดาว
ถ้ำหลวงเชียงดาว ได้เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและความเชื่อของชาวไตดังกล่าวแล้ว สมควรที่ลูกหลานชาวไตจะได้ศึกษาเรียนรู้ ตำนาน ปละประวัติความเป็นมาของถ้ำหลวงแห่งนี้ เพื่อสืบสานไว้ให้คนรุ่นหลังต่อไป
อ้างอิง
กรมวิชาการ "เล่าเรื่องเมืองเหนือ" ว่าด้วยสถานที่สำคัญ กรุงเทพฯ ,2522
แสงทองริกา "ตำนานถ้ำหลวงเชียงดาว และประวัติความเป็นมาของวัดปากถ้ำ ฉบับแก้ไขและเพิ่มเติม เชียงใหม่ ,2513
จากการสัมภาษณ์ ผู้เฒ่าผู้แก่ในเมืองแม่ฮ่องสอน
ตามมาทักทายท่าน ศน ก่อนนะครับ
สวัสดีค่ะ
มาเรียนรู้ตำนาน ถ้ำหลวงเชียงดาว ด้วยคนค่ะ
ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ
ขอบคุณทั้งสองท่าน ที่ตามเข้ามาอ่าน แหมยังพิมพ์ไม่เสร็จเลยครับเข้ามาก่อนเสียแล้ว ผมเขียนตำนานเรื่องนี้ไว้ให้ลูกหลานชาวแม่ฮ่องสอนได้ตระหนักรู้ว่า ผีเจ้าเมืองของเราทุกศาลเจ้าเมืองที่เราเคารพนับถือนั้นมาจากไหน มีประวัติความเป็นมาอย่างไร จะให้ชัดเจนต้องตามไปอ่านเรื่อง "ศาลเจ้าเมือง เจ้าข้อมือเหล็กและเจ้าเมืองแข่ของชาวไต" ที่ผมได้บันทึกไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาเรียนรู้อยู่ในปัจจุบันนี้ครับ ขอบคุณมากครับ
ลุงเกค่ะ
อยากไปมากๆ ค่ะ เมืองในฝันเลยละค่ะ ตอนไปเชียงใหม่กะว่าจะอยู่ต่อ และขึ้นไปแม่ฮ่องสอน แต่ก็อดเพราะต้องไปทำธุระที่ลำปางต่อ....
ขอบคุณลุงเกนะค่ะ
ต้องการหนังสือเรื่อง อีเก้งเข้ากรุง เขียนโดย อารยันตคุปต์ รบกวนขอคำเนะนำจากอาจารย์เกด้วยนะคะ
คุณอ้อครับ
ต้องขอโทษที่เพิ่งทราบ ผมเคยได้ยินชื่อหนังสือเล่มนี้ แต่ยังไม่เคยอ่าน เข้าใจว่าที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯน่าจะมี ท่านลองไปสอบถามดูนะครับ
อาจารย์เก
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะช่วยได้เยอะเลย
มาศึกษาหาความเรื่องรู้เรื่องถ้ำหลวงด้วยอีกคนค่ะ ในปีนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับการหายไปอย่างไร้ร่องรอยของกลุ่มเด็ก 13 คน ที่เข้าไปในถ้ำหลวง จนขณะนี้ผ่านไป 7 วัน ยังไม่มีความคืบหน้าความเคลื่อนไหว ส่งกำลังใจให้เด็ก ๆ ทุกคนปลอดภัย