“ไม่มีทั้งเรียว และน้ำตา”


“ไม่มีทั้งเรียว และน้ำตา”

ได้สั่งงานให้นักศึกษาที่เรียนวิชาความรู้เบื้องทางรัฐศาสตร์ เขียนเรื่อง “ระบบการปกครองในครัวเรือน” นักศึกษาชื่อ ชูชาติ บุญทา เขียนงานมาส่ง เมื่อตรวจแล้วรู้สึกว่าเขียนดี จึงขออนุญาตนำมาลงในgotoknown  

“ไม่มีทั้งเรียว และน้ำตา”

การสร้างวินัย เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก การสร้างวินัยเป็นพื้นฐานของครอบครัวของเรื่องทุกอย่างเป็นอย่างดี และผมก็เชื่อมั่นว่า ถ้าครอบครัวทุกๆท่านมีวินัยแล้ว ก็จะประสบความสำเร็จครับ บางราอย่าจน กลัวจน “เกิดปัญหา” เพราะว่าการวินัยเป็นสิ่งต้องเสริมสร้างให้เกิดกับตัวเด็กตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก ยิ่งเด็กเล็กยิ่งดี เพราะว่าวินัยที่ดีนั้นจะติดตัวไปจนโต และที่สำคัญวินัยก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา และมีมโนธรรมประจำใจเข้าไปตลอดชีวิต

 ผมเชื่อว่า พ่อ แม่ทุกท่านรักลูก อยากให้ลูกได้ดี และที่สำคัญ ต่างก็ไขว่คว้าหาสิ่งที่ดีสุดมาเลี้ยงลูกของเราเอง ก็อีกนั่นแหละครับ พ่อ แม่ส่วนมากก็จะเลี้ยงลูกมาจากประสบการณ์เดิมของพ่อ แม่ ที่เคยเลี้ยงเรา คือ ถูกเลี้ยงมาอย่างไร ก็มักจะเลี้ยงลูกอย่างนั้น บางเคยถูกเฆี่ยนตีประจำก็คิดเอาเองว่า การเฆี่ยนตีเป็นการสร้างวินัยที่ดีให้แก่ลูกได้ เพราะว่าตัวเองเป็นมาตรฐานว่า เรา “ยังดีได้” มาจนถึงทุกวันนี้ ได้ดีเพราะไม้เรียว

เมื่อพูดถึง ตีลูก ผมสังเกตแล้วน้อยคนนักไม่ค่อยตีลูก ส่วนใหญ่การตีลูกนั้น มักจะทำไปเพื่ออบรมสั่งสอน ไม่ใช่เกิดจากความเกลียดซังเด็ก หรือโกรธเลย แต่พอทำไปแล้ว ก็มักจะไม่ได้คิดล่วงหน้า คือทำไปเพราะเกิดจากแรงบันดาลโทสะ ผลคือ พฤติกรรมของเด็กก็ไม่มีอะไรดีขึ้น แถมยังสร้างความเจ็บปวด และเกลียดชังที่เกิดขึ้นในใจของเด็กที่ยากจะลืม

ดังนั้น พ่อ แม่จึงไม่ควรคาดหวัง ให้เด็กมีแนวพฤติตามมาตรฐานที่ผู้ใหญ่ตั้งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรปล่อยเด็กไว้ให้เรียนรู้ตามลำพัง ตามมีตามเกิด

พ่อแม่ทุกคนควรให้โอกาสที่จะให้เด็กได้รับความสุขสดชื่นตามวัยของเขาและอย่าพยายามเคี่ยวเข็ญ หรือผลักดันให้เขาต้องมานึกคิดและปฏิบัติตนตามมาตรฐานของผู้ใหญ่ก่อนวัยอันสมควร

พ่อแม่ต้องรู้ว่าจะผ่อนหรือดึงเด็กไว้ขนาดไหน และเท่าใด ที่จะทำให้ไม่ตึงและไม่หย่อนจนเกินไป

นี่หละครับเป็นเรื่องที่ “หนักอก” สำหรับพ่อ แม่ทุกคน

 ทำอย่างไรจึงจะเรียกว่า “พอดี” ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ โดยเฉพาะเรื่องการเลี้ยงลูก การปกครองลูก ผมคิดว่าพ่อแม่ทุกคน จำเป็นต้องมีความอดทนอย่างสูงส่ง ทั้งความอดทนและทั้งพยายามที่จะช่วยประคับประคองให้ลูกเติบโตขึ้นมาด้วยความสุขและมีความมั่นคงทางชีวิต

 เราต้องเข้าใจว่า เมื่อใดควรจะ “ตึง” เมื่อใดควรจะ “หย่อน” โดยเฉพาะกับลูกวัยรุ่น การวางตัวของพ่อ แม่นั้น เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าหากเราเลี้ยงลูกโดยไม่มีคำว่า วินัย ลูกคงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ก้าวร้าว เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ และรุกราน เอาเปรียบผู้อื่น ทำให้สังคมอยู่อย่างสงบสุขไมได้

 ประเด็นหลักของการสร้างวินัย ก็คือ ให้เด็กรู้ถึงความในใจของพ่อ แม่ และเชื่อฟังในเวลาเดียวกันด้วยครับ

 แต่ถ้าจะพูดกันจริงๆแล้ว การเลี้ยงลูก ดูจะเป็นเรื่องเฉพาะตัวนะครับ มันขึ้นอยู่กับค่านิยมของคนแต่ละคนมากทีเดียว เช่น ถ้า พ่อ แม่ คิดว่าการบังคับ เคี่ยวเข็ญ จะทำให้เด็กเป็นคนดีได้ ก็จะใช้วิธีนี้บังคับลูกของตน และคิดว่าวิธีการของตนเป็นวิธีการที่ดีที่สุด

 พ่อ แม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับลูกให้น้อยที่สุด และเปิดโอกาสให้เด็กมีการเจริญเติบโตตามธรรมชาติให้เด็กกล้าแสดงออกให้มากที่สุด

 ในอดีต การเลี้ยงลูกมักนิยมเลี้ยงแบบเข้มงวด พ่อ แม่จะใช้มาตรการที่เด็ดขาดในการให้ลูกเชื่อฟังคน เด็กๆสมัยก่อนก็จะไม่ได้รับสิทธิ อิสระในการพูด คิด หรือ แสดงออกได้มากนัก

 เด็กในสมัยก่อน จึงมักจะอยู่ในโอวาทของ พ่อ แม่ เสมอ

 ครอบครัวของผม ก็ใช้อำนาจกับลูกเหมือนกัน แต่คำว่าอำนาจ มีความหมายทั้งดีและไม่ดี เหมือนกัน บางคนใช้อำนาจกับลูก จนดูเผด็จการเกินไป จนลูกทนไม่ไหว และบางคนก็ไม่ใช้อำนาจกับลูกเลย ปล่อยให้ลูกกลายเป็น “ลูกบังเกิดเกล้า” ไปก็มี

เราต้องเลี้ยงลูกให้เด็กมีสุขภาพจิตดีไปด้วย ต้องเลี้ยงดูแบบผสมผสานที่อ่อนและแข็งไปด้วยกันคือ ให้ทั้งความรัก กำลังใจ และความเข้าใจแก่ลูก และเมื่อจำเป็นต้อง “แข็ง” ก็ให้เหตุผล ในการกระทำ ไม่ว่าจะให้ลูกทำตามเรื่องใดก็ตาม ก็อย่าใช้อารมณ์กับลูก

ผมเอง จะเน้นเรื่องของการเข้าใจลูก เข้าใจเด็ก ไม่ใช้ความรุนแรง และให้ความเมตตากับเด็กเป็นที่ตั้ง อย่างไรก็ตามความรัก ความเมตตานั้นจะต้องทำด้วยปัญญาด้วย จึงจะเป็นผลไม่ควรใช้วิธีตึงหรือหย่อนเกินไป เพราะว่าจะสร้างปัญหาให้กับเด็กและสังคมในอนาคต

เด็กทุกคนคือ ผ้าขาวบริสุทธิ์ แล้วแต่ พ่อแม่จะแต่งแต้มสีสันให้แก่เด็ก และผมก็ระลึกเสมอว่า เด็กคือภาพวาดตัวเขาเองในอนาคต เราเป็นอย่างไร เขาก็จะเป็นกระจกสะท้อนของตัวเขาเองในอนาคตเสมอ และโปรดอย่าลืมความจริงข้อหนึ่งว่า 

“ลูกที่ไม่รัก พ่อ แม่นั้นไม่มี มีแต่พ่อ แม่ที่ยังไม่สามารถทำตัวให้ลูกรักได้เท่านั้น”

 ผมขอสรุปการปกครองครอบครัวของผม เป็นแบบประชาธิปไตยกึ่งเผด็จการ ถึงเวลาควรตึง ก็ต้องตึง เวลาไหนเหตุการณ์ไหนควรหย่อนก็ต้องหย่อน เป็นพื้นฐานที่ว่า “สร้างรักให้ครอบครัว เหมือนสร้างรั้วให้บ้าน”

เด็กทุกคนเกิดมามีความปรารถนาที่ธรรมชาตินั้นสร้างขึ้นมาให้รักพ่อ แม่ ของตนเองเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว

  ท้ายที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่า ผมไดทำดีที่สุดแล้ว ไม่ใช่คำปลอบใจตัวเองนะครับ แต่เพราะว่าความรัก ความเอาใจใส่ที่เรามีต่อลูก ทำให้เราต้องพยายามขวนขวายทุกวิถีทาง ที่จะทำให้ชีวิตครอบครัวของผมสมบูรณ์ให้มากที่สุดครับ




หมายเลขบันทึก: 227639เขียนเมื่อ 6 ธันวาคม 2008 10:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 03:48 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

แวะมาอ่าน..ถูกต้องแล้วค่ะทุกคนเกิดมาต้องการความรักและความอบอุ่น

ถึงจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่..ต้องการทั้งนั้นนะคะ

ครับผม ขอบคุณมาก ที่แวะมาอ่าน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท