การเล่าเรื่องน้องหมาเป็นหัวข้อที่สร้างความรื่นรมย์ให้ฉันมากค่ะ
น้องหมาตัวแรกที่นึกถึงคือ น้องหมาพันธุ์เชา เชา
ตัวน้อยที่มาป้วนเปี้ยนอยู่ได้ไม่นานก็มีอันต้องจากไป
(ก่อนวัยอันควร)
ฉันได้รู้จักน้องหมาตัวนี้ตอนที่เป็นแพทย์ประจำบ้านอยู่ที่ศิริราช
พี่สาวของฉัน (ขณะนั้นอยู่ที่กรุงเทพเช่นเดียวกัน)
ได้น้องหมาตัวน้อยมาจากห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านลาดพร้าว
และเป็นน้องหมาตัวแรกที่พี่สาวฉันเป็น “เจ้าของ”
โดยสมบูรณ์
น้องหมาตัวนี้อาศัยอยู่กับพี่สาวของฉัน
ในบ้านเดี่ยวหลังย่อมกลางซอยสุขุมวิท 101/1 ซึ่งเป็นบ้านของน้าสาวของพวกเรา
น้าสาวของฉันไม่ปฏิเสธเลยที่จะรับน้องหมาตัวนี้เข้าบ้าน
แม้ว่าน้าจะไม่เคยเลี้ยงหมามาก่อนเลย ทั้งที่จริงๆ
แล้วน้าสาวของฉันก็รักน้องหมามากมาก
เนื่องจากเติบโตมาแบบเดียวกับฉันเป๊ะเลย
(สงสัยต้องจับสมาชิกในครอบครัวฉันมาตรวจทางพันธุกรรมบ้างแล้ว
อาจเจอแท่งโครโมโซมรูปกระดูก) แต่น้าเขยเป็นคนไม่ชอบน้องหมา
น้าสาวก็เลยไม่มีโอกาสได้เลี้ยง เผอิญช่วงที่น้องหมาตัวนี้มา
น้าเขยต้องเดินทางไปต่างประเทศหลายเดือน
น้าและหลานหลานเลยสบโอกาสเอาน้องหมามาเลี้ยงซะเลย
น้องหมาเข้ามาสร้างความรื่นรมย์ในชีวิตของน้าหลานได้ไม่นาน
ก็มีอันให้เกิดเรื่องเศร้า น้องหมาเริ่มไม่สบายจากเป็นผื่นที่ท้อง
มีน้ำมูกไหลเหมือนเป็นหวัด
พี่สาวของฉันกับอดีตแฟนของเธอพาน้องหมาตระเวนไปตรวจอยู่หลายครั้ง
อาการก็ไม่ดีขึ้น มีแต่ทรุดลงๆ จนสุดท้าย สัตวแพทย์บอกว่าเป็นหัด
ซึ่งโรคหัดในหมานั้นรุนแรงมาก เกือบทั้งหมดจะเสียชีวิตในเวลาไม่นาน
เราทุกคนเริ่ม กังวลและกลัวการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก
พยายามทำทุกวิถีทาง พาไปฉีดยาทุกวัน หายาและอาหารที่ดีที่สุดให้กิน
ทุกคนเพียรพยายามแวะเวียนกันมาดูน้องหมาให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ฉันเองซึ่งปกติจะกลับบ้านเฉพาะเสาร์อาทิตย์
เป็นอันว่าฉันต้องกลับมาเกือบทุกวัน
นั่งรถข้ามจากศิริราชมาใช้เวลาครั้งละไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง
แถมต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเพื่อกลับไปศิริราชให้ทันก่อนรถติดอีกก็ยอม
“ไม่รักไม่ยอมทำขนาดนี้”
หรอกค่ะ อดีตแฟนของพี่สาวก็เวียนมาพอๆ กันกับฉัน
น้าสาวของฉันมาบ่อยที่สุด เนื่องจากที่ทำงานอยู่ใกล้บ้าน
พอพักเที่ยงก็ต้องแวะมาดูว่าน้องหมาเป็นอย่างไรบ้าง
ส่วนพี่สาวของฉันก็ไม่ได้แตกต่างกัน
แถมยังต้องนอนเฝ้าไข้น้องหมาทุกคืน
จนกระทั่งช่วงสุดท้ายที่น้องหมาอาการทรุดหนักกินเองไม่ได้
ได้แต่นอนนิ่งๆ มีเพียงท้องขยับขึ้นลงเบาๆ
อันหมายความว่าน้องหมายังหายใจอยู่
แถมยังมีอาการชักระตุกเป็นช่วงๆ สัตวแพทย์ถามพี่สาวของฉันว่า
จะฉีดยาให้น้องหมาหลับไปเลยไหม เพราะถึงอย่างไร
น้องหมาก็ต้องตายอยู่ดี แต่พี่สาวของฉันคิดว่า แม้เธอจะเป็นคน
“ซื้อ” น้องหมาตัวนี้มา เธอเป็น
“เจ้าของ” แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินชีวิตของน้องหมา
(หรือชีวิตของใครๆ) ว่าควรจะอยู่หรือจะตาย ในที่สุด
ทุกคนก็ตกลงใจที่จะดูแลน้องหมาให้ดีที่สุด
จนถึงวันที่น้องหมาพร้อมจะจากไปเอง
อดีตแฟนของพี่ฉันเลยต้องหอบหิ้วแอบเอาน้องหมาไปนอนที่แฟลตในโรงพยาบาล
เพื่อไปแทงเส้นให้น้ำเกลือ (ลืมบอกว่าเขาเป็นหมอรักษาคนค่ะ
แต่ต้องแปลงร่างเป็นสัตวแพทย์ชั่วคราว)
วันที่น้องหมาตายนั้น พี่สาวของฉันจำได้ แม้กระทั่งว่า
เย็นวันนั้นมีแดดอ่อนๆ สาดเข้ามาในห้อง (เห็นไหมคะ
ว่าเธอช่างจดจำจริงๆ) เธอเผลอหลับไป เนื่องจากอดนอนติดต่อกันหลายวัน
พอตื่นขึ้นก็พบว่า น้องหมาได้จากไปแล้ว
พี่สาวของฉันส่งข้อความมาบอกว่า “ทาโบะคงไม่ได้เจอน้า …..อีกแล้ว”
ฉันรู้เลยว่าขณะนั้น
พี่สาวของฉันคงไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงแม้จะโทรมาบอก
ฉันรีบตรงดิ่งกลับบ้านทันที ที่นั่น น้าสาว พี่สาว อดีตแฟนพี่สาว
และฉันได้ส่งน้องหมาไปอยู่กับคุณตา คุณยายของฉัน
บรรดาน้องหมาทั้งหลายที่เคยผ่านเข้ามาในครอบครัวของฉัน
รวมทั้งบรรพบุรุษของน้องหมาตัวนี้ (ที่ฉันไม่รู้จัก)
ด้วย
แม้วันนี้ พี่สาว
น้าสาว และฉัน เราจะมีน้องหมาตัวใหม่เข้ามาเป็น “ส่วนหนึ่งของชีวิต”
แต่เราก็ไม่สามารถลืมน้องหมาตัวน้อยตัวนั้นได้
ถึงแม้รายละเอียดบางอย่างอาจตกหล่นไปบ้างตามกาลเวลา
ก็เหมือนกับผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรานั่นแหละค่ะ
เมื่อคนหนึ่งผ่านออกไปพร้อมๆ กับความทรงจำ
คนใหม่ก็ผ่านเข้ามาเพื่อสร้างความทรงจำครั้งใหม่ให้กับเรา
แม้ว่าความทรงจำครั้งใหม่จะน่าจดจำกว่าความทรงจำครั้งก่อนสักเพียงใด
แต่เราก็ยังจำ “ความทรงจำของคนในอดีต” ได้อย่างไม่ยอมลืม
เพราะฉันรู้ว่า ไม่มีแม้ใครสักคนที่จะ